Grassroots Economy in the Age of Globalization เศรษฐกิจฐานรากในยุคโลกาภิวัตน์
- timeconsulting10
- 18 ก.ค.
- ยาว 1 นาที

เศรษฐกิจฐานรากได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา และการเติบโตที่ยั่งยืนสำหรับประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยเอง และคำที่ว่า “Local is the New Global” ไม่ใช่แค่คำพูดที่สะท้อนเทรนด์การกลับมาของเศรษฐกิจท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของโอกาสใหม่ ๆ ที่เศรษฐกิจฐานรากไทยสามารถขยายตัวและเชื่อมโยงกับตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการนำจุดแข็งของชุมชน ทั้งภูมิปัญญา วัฒนธรรม และทรัพยากรท้องถิ่น มาผสมผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีระดับสากล
บทความนี้จะพาท่านไปทำความรู้จักเพิ่มเติมในมิติของศักยภาพของเศรษฐกิจฐานรากในประเทศไทย โอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการผลักดันนโยบายของภาครัฐ และแนวทางการพัฒนาที่สร้างสมดุลระหว่างความทันสมัยและรากฐานทางวัฒนธรรม เพื่อให้เศรษฐกิจฐานรากกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและเติบโตอย่างมั่นคงในระดับโลก
“เศรษฐกิจฐานรากไทยกับการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน”
ในปีพ.ศ. 2567 เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตในระดับต่ำ จากการคาดการณ์ของธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าอัตราการเติบโตของไทยจะอยู่เพียงที่ 2.4%–2.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียนอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามที่เติบโตถึง 7.09% มาเลเซีย 5.1% และอินโดนีเซีย 5.03% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ไทยต้องเร่งรับมือ โดยเฉพาะในด้านศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาเศรษฐกิจที่ทั่วถึงเศรษฐกิจฐานรากจึงกลายเป็นความหวังสำคัญในการพลิกฟื้นและขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศในระยะยาวเพราะเป็นรากฐานที่เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ของประชาชนในระดับชุมชน และสามารถสร้างความเข้มแข็งจากภายในได้
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ในปี 2567 พบว่าภาพรวมของเศรษฐกิจฐานรากมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นของสมาชิกชุมชนเพิ่มจาก 47.7 ในปี 2566 เป็น 53.8 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้นำชุมชนก็เพิ่มขึ้นจาก 54.0 เป็น 54.7 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ "เชื่อมั่น" หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้คือบทบาทของคนรุ่นใหม่ ที่เริ่มกลับมาพัฒนาชุมชนของตนเองมากขึ้น สะท้อนแนวคิด “Local is the New Global” ที่ไม่ใช่แค่คำพูดตามเทรนด์ แต่เป็นสัญญาณของโอกาสใหม่ๆ ที่ชุมชนไทยสามารถเชื่อมต่อกับตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรม และทรัพยากรในพื้นที่ กับนวัตกรรมและเทคโนโลยี จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างมูลค่า เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

“เศรษฐกิจฐานรากไทยในสมรภูมิภูมิภาค” ปลดล็อกศักยภาพ ทลายความเปราะบาง สู่ความยั่งยืน
เศรษฐกิจฐานรากของไทยมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งถือเป็นแหล่งจ้างงานและรายได้หลักของประชาชนส่วนใหญ่ แม้ว่าสัดส่วน GDP จากภาคเกษตรจะอยู่ที่เพียงร้อยละ 8.9 แต่ภาคนี้ยังคงเป็นเสาหลักที่ค้ำจุนชีวิตของผู้คนจำนวนมากทั่วประเทศ ในบริบทของความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก และปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึกในสังคมไทย การส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ “ความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์” ที่รัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ลดความเปราะบางทางสังคม และเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจฐานรากของไทยยังคงเผชิญกับข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการ ได้แก่:
ภาระหนี้ครัวเรือนและรายได้ที่ไม่เพียงพอ ครัวเรือนฐานรากจำนวนมากมีรายได้ต่ำและไม่มั่นคง ทำให้ต้องพึ่งพาหนี้สินเพื่อดำรงชีวิต จากข้อมูลของ The Standard พบว่ายอดหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูงถึง 16.4 ล้านล้านบาท ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อ การออม และศักยภาพในการลงทุนของประชาชนในระยะยาว
คุณภาพหนี้ที่เปราะบาง ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ในระบบธนาคารพาณิชย์ ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.97 ขณะที่สินเชื่อที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (SICR) อยู่ที่ร้อยละ 6.86 ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนความเปราะบางของระบบการเงินในระดับรากหญ้า และความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
การขาดโอกาสและศักยภาพที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาชุมชนจำนวนมากยังขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร ความรู้ เทคโนโลยี และตลาดสมัยใหม่ ผลสำรวจของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ชี้ว่า ร้อยละ 85.1 ของครัวเรือนไทยเห็นว่ารายได้ที่ได้รับไม่เพียงพอกับค่าครองชีพ และร้อยละ 65.3 มีภาระหนี้สิน แม้ว่าจะเป็นหนี้ในระบบเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็สะท้อนภาระที่กดทับครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่หลายประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ได้เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านการส่งเสริมนวัตกรรมท้องถิ่น สนับสนุนวิสาหกิจชุมชน และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับชุมชน ทำให้พวกเขามีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่องและสามารถลดช่องว่างทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของไทยจึงต้องมองให้ลึกกว่าการกระตุ้นการใช้จ่ายระยะสั้น แต่ควรเป็นการ “วางรากฐานใหม่” ที่ยึดโยงกับความเป็นจริงในท้องถิ่น พัฒนาองค์ความรู้ ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุน เทคโนโลยี และตลาดอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เศรษฐกิจฐานรากกลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงของประเทศ สู่เป้าหมาย “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน”

"เสริมราก สร้างฐาน เสริมพลังชุมชนไทยด้วยยุทธศาสตร์แห่งชาติ"
ในปัจจุบันประเทศไทยมีการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์สำคัญที่มุ่งสนับสนุน เศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) อย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย โดยมีกรอบแนวทางที่สำคัญ ดังนี้:
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นกรอบการพัฒนาระยะยาว (พ.ศ. 2561–2580) ที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไปสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” โดยเน้นการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากอย่างชัดเจน ผ่านการกระจายรายได้ให้ชุมชน และส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย (Micro & SMEs) ให้สามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม
แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ทำหน้าที่เป็นแผนปฏิบัติการ เพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยแต่ละแผนมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เช่น การส่งเสริมอาชีพ สนับสนุนทุนหมุนเวียน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับชุมชน
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) มุ่ง “พลิกโฉมประเทศไทยสู่สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” โดยให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในระบบเศรษฐกิจฐานราก
นโยบายและยุทธศาสตร์เหล่านี้ ต่างให้ความสำคัญกับ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือหลัก ในการพัฒนาชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น เพื่อสร้างอาชีพใหม่ เพิ่มรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ การดำเนินงานยังเชื่อมโยงกับ เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่
เป้าหมายที่ 1: ยุติความยากจนในทุกรูปแบบ
เป้าหมายที่ 8: ส่งเสริมงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เป้าหมายที่ 10: ลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศและระหว่างประเทศ
ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการ “พัฒนาเศรษฐกิจจากรากฐาน” เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาตนเองและมีส่วนร่วมในการเติบโตของประเทศอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน

“ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก จากระดับชุมชนไปสู่ตลาดระดับชาติและนานาชาติด้วย Soft Power”
ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่เริ่มชะลอตัว ทั่วโลกหันกลับมาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจที่มีรากฐานจากอัตลักษณ์และทรัพยากรในท้องถิ่น และคุณค่าเชิงวัฒนธรรม เศรษฐกิจรากฐาน (Grassroots economy) จึงไม่ใช่แค่ระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่นอีกต่อไป หากแต่เป็นจุดตั้งต้นของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจระดับชาติ และสามารถต่อยอดไปสู่ระดับนานาชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยปัจจัยหนึ่งที่กำลังกลายเป็น “ตัวเร่ง” สำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจรากฐานให้ก้าวไกล คือ Soft Power พลังอำนาจเชิงวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และวิถีชีวิต ที่สามารถเปลี่ยน “คุณค่าทางวัฒนธรรม” ให้กลายเป็น “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ได้อย่างแท้จริง
หนึ่งในแนวทางที่ช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนคือการรีแบรนด์ด้วยดีไซน์ร่วมสมัย แต่ยังคงกลิ่นอายของวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ การเล่าเรื่องสินค้า (Storytelling) อย่างมีเอกลักษณ์ รวมถึงการจัดประสบการณ์ท้องถิ่นในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยต่อยอดจุดแข็งของชุมชนสู่ตลาดระดับชาติและนานาชาติ สร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ Soft Power ยังมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะการใช้ศิลปินหรือคนดังเป็นกระบอกเสียงในการส่งเสริมสินค้าและวัฒนธรรมท้องถิ่น ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ “ลิซ่า BLACKPINK” ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น Global Thai Icon เธอเลือกสวมชุดผ้าไหมมัดหมี่โบราณจากภาคอีสาน ขึ้นแสดงบนเวทีระดับโลก เช่น พรมแดงเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่เวนิส และในคอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกาและยุโรป
ผลลัพธ์ที่ตามมา คือ สื่อหลักในอเมริกาและยุโรปนำเสนอภาพลิซ่าในชุดผ้าไหมไทย ส่งผลให้ยอดค้นหาคำว่า “Thai Silk” บน Google เพิ่มขึ้นเกือบ 200% ภายในไม่กี่วัน ตลาดผ้าไหมและผ้าฝ้ายลายอีสาน โดยเฉพาะจากจังหวัดยโสธรและร้อยเอ็ด มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 45% ภายใน 1 เดือน และคำว่า “Lalisa Thailand” ยังติดเทรนด์การค้นหาในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลียจะเห็นได้ว่า Soft Power จึงเป็นเสมือน “เชื้อเพลิงสร้างสรรค์” ที่ช่วยให้เสียงของชุมชนเฉิดฉายไปทั่วโลก

“บทเรียนจากโครงการต่างประเทศในการยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่น”
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้หยุดอยู่แค่ระดับมหภาคหรือในเมืองใหญ่เท่านั้น แต่ต้องมองย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นอย่าง “เศรษฐกิจฐานราก” ในระดับชุมชนท้องถิ่น เพราะชุมชนคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่านโครงการที่ประชาชนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นกลไกในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม จากแนวคิดดังกล่าว มีหลายโครงการและนโยบายในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เช่น
โครงการ Our Singapore Fund (OSF) - เพื่อสนับสนุนโครงการที่สร้างสรรค์โดยประชาชนหรือองค์กรในท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งในระดับชุมชน กระตุ้นพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในระดับชุมชน และกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยโครงการนี้ให้เงินสนับสนุนสูงสุดถึง 20,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือสูงถึง 80% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการ
โครงการ “Agriculture Cloud 131” - โครงการด้านเกษตรอัจฉริยะของจีน ได้ผสานเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการจัดการเกษตรกรรมในระดับชาติ โดยการพัฒนาระบบข้อมูลและบริการที่ครอบคลุมเพื่อช่วยเกษตรกรสามารถรองรับความต้องการการบริโภคผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์ภายในประเทศและเพื่อการส่งออก โดยอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และเป็นกุญแจไขความสำเร็จในการขจัดปัญหาความยากจนโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกล

ข้อเสนอแนะเชิงบูรณาการบทบาทของภาครัฐ เอกชนและชุมชน สู่การพัฒนาที่เป็นรูปธรรม
จากบทวิเคราะห์ข้างต้น สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “เศรษฐกิจฐานราก” คือรากแก้วสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่กลุ่มประชากรในภาคนี้ เช่น เกษตรกร แรงงานนอกระบบ ผู้ค้ารายย่อย และวิสาหกิจชุมชน มีบทบาทเชิงโครงสร้างอย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงแต่ในการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความมั่นคงทางสังคม แต่ยังเป็นแหล่งพลังในการขับเคลื่อนประเทศจากฐานล่างอย่างแท้จริง
ซึ่งบทบาทของภาครัฐ ควรเริ่มจากการกำหนดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฐานรากระดับชาติอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมตัวชี้วัดความสำเร็จด้านรายได้ ความมั่นคง และการเข้าถึงโอกาสในระดับพื้นที่ เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การจัดตั้งกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ชุมชนเข้าถึงได้ง่าย โดยใช้แนวทาง “การวางแผนจากล่างขึ้นบน” (Bottom-up Planning) จะเปิดโอกาสให้ชุมชนสามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาของตนเองได้อย่างสอดคล้องกับบริบทจริง พร้อมกันนี้ควรมีมาตรการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับกลุ่มอาชีพรากหญ้า และการจัดตั้ง “คลินิกแก้หนี้” ในระดับตำบล เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเรื้อรังอย่างเป็นระบบ
ในขณะเดียวกันภาคเอกชน ควรขยายบทบาทจากเพียงแค่ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (CSR) ไปสู่การมองเห็นโอกาสทางธุรกิจร่วมกับเศรษฐกิจฐานราก โดยการเปิดช่องทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชนผ่านห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือโมเดล B2B Matching ตลอดจนยังสามารถเป็น “พี่เลี้ยงธุรกิจ” ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ถ่ายทอดองค์ความรู้ในด้านสำคัญ เช่น การตลาด การจัดการต้นทุน การใช้เทคโนโลยี และการสร้างแบรนด์สินค้าอย่างมืออาชีพ เมื่อภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนร่วมกันสร้าง “ระบบสนับสนุนที่ยั่งยืน” เศรษฐกิจฐานรากของไทยจะไม่ใช่เพียงกลไกทางเศรษฐกิจ แต่จะกลายเป็นพลังร่วมที่ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างแท้จริง
ที่มา :


