top of page

When AI Goes Local: A New Lifeline for Thailand’s Grassroots Economy ทางรอดใหม่ของเศรษฐกิจฐานรากไทย

ree

เศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทยคือ หัวใจของความเข้มแข็งในระดับชุมชน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรายย่อย แม่ค้าในตลาดสด ผู้ประกอบการ OTOP หรือแรงงานอิสระที่ไม่มีสวัสดิการรองรับ กลุ่มคนเหล่านี้คือกลไกสำคัญที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจท้องถิ่น และสร้างรายได้หมุนเวียนภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับติดอยู่ในวงจรของปัญหาเดิม ๆ ทั้งการขาดข้อมูล ขาดทุนสนับสนุน ขาดโอกาส และเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี และนี่คือจุดที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI อาจเข้ามาเปลี่ยนเกม เพราะในยุคที่ AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่คือปัจจุบัน คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “AI จะมาแทนคนหรือไม่” แต่คือ “AI จะเข้าไปยกระดับชีวิตคนในชุมชนได้อย่างไร?” 


บทความนี้จะพาผู้อ่านสำรวจว่า “เมื่อ AI ไปถึงท้องถิ่น” จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างในเชิงเศรษฐกิจและสังคม พร้อมชี้ให้เห็นโอกาสใหม่ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้เท่าทันโลก โดยไม่ต้องละทิ้งรากเหง้าแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่น 



“จากปัญหาเชิงโครงสร้าง สู่โอกาสด้วย AI” 


เศรษฐกิจฐานรากกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างหลายด้านที่ขัดขวางการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลและโอกาส ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการระดับชุมชนขาดข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจทางธุรกิจ เช่น ราคาตลาดหรือแนวโน้มผู้บริโภค ข้อจำกัดด้านทุนและเทคโนโลยีที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลหรือระบบการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการที่ยังพึ่งพาภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งอาจไม่ทันต่อการแข่งขันในยุคโลกาภิวัตน์ และการตลาดที่ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะการเข้าถึงตลาดออนไลน์ ปัญหาเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเปราะบางและขาดโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 


ดังนั้น คำถามสำคัญคือ “แล้วเทคโนโลยีอย่าง AI จะช่วยคนในชุมชนได้จริงหรือไม่?” ซึ่งคำถามดังกล่าวนำไปสู่แนวคิดที่ว่า "Local AI การปรับใช้ AI ที่เหมาะสมกับบริบทไทย” แนวคิดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาอย่างก้าวกระโดด จนสามารถเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และวิถีชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว แต่แม้ AI จะมีศักยภาพมหาศาลในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ทว่า หากการพัฒนาและการนำ AI ไปใช้เกิดขึ้นบนฐานของข้อมูลหรือมุมมองที่ห่างไกลจากความเป็นจริงของชุมชน ก็อาจไม่ได้ช่วยลดช่องว่าง กลับกันอาจทำให้ความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลรุนแรงขึ้น คนบางกลุ่มอาจใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ ขณะที่อีกหลายกลุ่มกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพราะไม่มีเครื่องมือ ทักษะ หรือแม้แต่ภาษาที่ใช้สื่อสารกับระบบได้ 


"Local AI" จึงไม่ใช่เพียงการนำ AI ไปใช้งานในท้องถิ่น แต่เป็นการ "เริ่มต้นจากท้องถิ่น" ตั้งแต่การตั้งคำถาม ปัญหา ไปจนถึงการออกแบบเครื่องมือและวิธีใช้งาน แนวคิดนี้เชื่อว่า ชุมชนไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ใช้” เทคโนโลยี แต่สามารถเป็น “เจ้าของ” เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ของตนเองได้ หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม การพัฒนา AI ในลักษณะนี้จึงต้องคำนึงถึงหลายมิติ ทั้งภาษาในชีวิตประจำวัน ความรู้พื้นฐานที่มีอยู่ ระบบสื่อสารในพื้นที่ ตลอดจนรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคม อาทิ ความไว้เนื้อเชื่อใจในแหล่งข้อมูล หรือวิธีการตัดสินใจร่วมกันของคนในชุมชน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ AI ไม่ใช่แค่ “ฉลาด” แต่ “เข้าใจ” และ “เข้าถึง” ผู้คนได้จริง ในระยะยาว แนวคิด “Local AI” อาจเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนที่สุด เพราะไม่ได้มุ่งให้ทุกชุมชนใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกัน แต่เปิดโอกาสให้แต่ละพื้นที่ออกแบบเส้นทางของตนเอง โดยมีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เงื่อนไข 

 


ree

“เรียนรู้จากโลก: AI ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในต่างประเทศ” 


“เศรษฐกิจฐานราก” หมายถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็น วิสาหกิจชุมชน เกษตรกรรายย่อย กลุ่มผลิตภัณฑ์ OTOP ซึ่งเศรษฐกิจฐานรากเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางสังคม โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งสร้างรายได้หลักของคนส่วนใหญ่แล้ว ยังสะท้อนภูมิปัญญา ทุนทางวัฒนธรรม และการพึ่งพาตนเองของท้องถิ่นอย่างแท้จริง คำถามคือ ในยุคที่เทคโนโลยีอย่าง AI กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ โลกภายนอกได้ใช้นวัตกรรมเหล่านี้เพื่อยกระดับชีวิตของชุมชนท้องถิ่นอย่างไร และไทยสามารถเรียนรู้อะไรจากกรณีเหล่านี้ได้บ้าง? 


หนึ่งในกรณีศึกษาที่ได้รับความสนใจมากคือ โครงการ AI Satyagraha ในอินเดีย ที่พัฒนาโดยบริษัท Wadhwani AI ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร โครงการนี้ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ภาพใบฝ้ายเพื่อประเมินระดับ การระบาดของแมลงศัตรูพืชในฟาร์มของเกษตรกรรายย่อย โดยเกษตรกรเพียงแค่ถ่ายภาพใบพืชผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ ระบบ AI จะประเมินความเสียหายและแนะนำวิธีการจัดการศัตรูพืชที่เหมาะสม ช่วยลดต้นทุนการใช้สารเคมีและเพิ่มผลผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม (Wadhwani Institute for AI, 2023) อีกกรณีที่โดดเด่นคือ โครงการ  FarmPin ในแอฟริกาใต้และเคนยา ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมและข้อมูลสภาพอากาศ เพื่อช่วยเกษตรกรทำนายช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยว รวมถึงใช้ข้อมูลพยากรณ์ล่วงหน้า เพื่อคาดการณ์ราคาผลผลิต ทำให้เกษตรกรรายย่อยมีอำนาจต่อรองและวางแผนธุรกิจได้ดีขึ้น (World Economic Forum, 2020) ขณะที่ในโคลอมเบีย มีการใช้ระบบ AI ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ภาษาธรรมชาติ (NLP) เพื่อสื่อสารกับชาวบ้านที่พูดภาษาท้องถิ่นหลากหลาย โดยเน้นการให้คำแนะนำด้านการเกษตร การประมง และการจัดการแหล่งน้ำอย่างเข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ ช่วยขยายการให้บริการภาครัฐและการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ห่างไกล (UNESCO, 2021) 


แม้หลายกรณีจากต่างประเทศจะดู “ล้ำหน้า” หรือมีความเฉพาะทางที่แตกต่างจากไทย แต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจะพบว่า แก่นของความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีที่ซับซ้อน หากแต่อยู่ที่การออกแบบระบบ AI ให้ตอบโจทย์ของคนในพื้นที่จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในชุมชน การสื่อสารด้วยภาษาท้องถิ่น หรือการผสานกับภูมิปัญญาที่มีมาก่อน ความสำเร็จในประเทศเหล่านี้จึงเกิดจากการสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักพัฒนา เทคโนโลยี และชุมชน ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะประเทศใด และสามารถนำมาปรับใช้ในบริบทไทยได้เช่นกัน เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การใช้งานสมาร์ทโฟนที่แพร่หลายไปถึงระดับครัวเรือน และความเคลื่อนไหวจากภาคนโยบายและภาควิชาการ ในการพัฒนา AI ไทยเองก็มีศักยภาพไม่น้อยกว่าประเทศที่เริ่มต้นก่อนเรา 


ขณะเดียวกัน ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ภาษา และวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาคของไทย แม้จะเป็นความท้าทาย แต่ก็เป็นโอกาสในการพัฒนา “AI ที่เข้าใจคนไทย” อย่างแท้จริง กล่าวคือ หากสามารถออกแบบเทคโนโลยีที่สื่อสารด้วยภาษาท้องถิ่น เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต และเคารพภูมิปัญญาชุมชน เทคโนโลยีนั้นก็ย่อมมีโอกาสถูกนำไปใช้งานจริงในระดับรากหญ้า สิ่งที่ประเทศไทยต้องการจึงไม่ใช่แค่การเร่งนำเข้าเทคโนโลยีใหม่ ๆ เท่านั้น แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการนำ AI ไปปรับใช้ในชุมชนอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเชิงนโยบาย การพัฒนาทักษะ การสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วม หรือการเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่มีบทบาทในการออกแบบเทคโนโลยีร่วมกับนักพัฒนา หากองค์ประกอบเหล่านี้ทำงานสอดประสานกันอย่างจริงจัง โอกาสที่ “Local AI แบบไทย ๆ” จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมก็ย่อมไม่ไกลเกินเอื้อม 



ree

“AI กับ Grassroots Economy” การประยุกต์ใช้ AI กับชุมชนในประเทศไทย 


แม้ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับหลายคนในชุมชน แต่ความจริงแล้ว AI กำลังเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่ในเมืองใหญ่หรือภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น หากแต่ยังเริ่มแทรกซึมสู่ภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อยในระดับท้องถิ่นอย่างช้าๆ ซึ่งจากตัวอย่างข้างต้นทำให้เห็นว่าในหลายประเทศ AI ถูกนำไปใช้เพื่อช่วยเกษตรกรวางแผนการผลิต เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน หรือแม้แต่คาดการณ์ราคาตลาดล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้ชุมชนสามารถตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นและแข่งขันได้ในเศรษฐกิจยุคใหม่ และคำถามคือ... ประเทศไทยล่ะ? เราเริ่มต้นนำ AI เข้ามาช่วยเสริมพลังให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างไรบ้าง? 


กรณีศึกษาภายใต้โครงการ “สมาร์ทฟาร์มเพื่อชุมชน” ในจังหวัดเชียงใหม่ สะท้อนศักยภาพของการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชผักอินทรีย์ในอำเภอสันทรายและแม่แตง ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยท้องถิ่น อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการเกษตร พัฒนาระบบบริหารจัดการฟาร์มแบบแม่นยำ โดยติดตั้งเซ็นเซอร์ IoT ในแปลงเกษตร เพื่อเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมรายวัน อาทิ ความชื้นในดิน อุณหภูมิ ปริมาณแสงแดด และระดับน้ำฝน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งแบบเรียลไทม์ไปยังระบบคลาวด์ เพื่อให้ AI ประมวลผลและส่งคำแนะนำแบบรายจุดผ่านแอปพลิเคชันมือถือ ทั้งในด้านเวลาที่เหมาะสมในการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย การคาดการณ์ปริมาณผลผลิต และการแจ้งเตือนความเสี่ยงจากโรคพืชหรือศัตรูพืชอัตโนมัติ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตด้านน้ำและปุ๋ยลงได้เฉลี่ยร้อยละ 15–20 ขณะเดียวกันผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ภายในหนึ่งฤดูกาลเพาะปลูก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโมเดล AI สำหรับคาดการณ์ราคาพืชผลในตลาดท้องถิ่น โดยอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวราคากลางและแนวโน้มตลาดรายไตรมาส ซึ่งช่วยให้เกษตรกรวางแผนการขายล่วงหน้าได้ดีขึ้น ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง และเสริมอำนาจการต่อรองอย่างมีนัยสำคัญ 


ในมิติของอีคอมเมิร์ซชุมชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยก็แสดงให้เห็นพัฒนาการที่น่าจับตา ตามรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (2565) ระบุว่า การค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในชนบทของอีสานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้าท้องถิ่นจำนวนมากหันมาใช้สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายสินค้า หนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญ คือ การพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซท้องถิ่นชื่อว่า “ตลาดบ้านเรา” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของภาคประชาสังคมกับสตาร์ทอัพในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยใช้ AI เป็นกลไกหลักในการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคในพื้นที่ เสนอสินค้าแบบเฉพาะบุคคล (personalized recommendations) รวมถึงแนะนำช่วงเวลาที่ควรจัดโปรโมชั่นตามพฤติกรรมผู้ใช้ ที่สำคัญคือ AI ยังถูกฝังอยู่ในระบบหลังบ้านของร้านค้าออนไลน์เพื่อช่วยวิเคราะห์คำค้นยอดนิยม แนะนำราคาขายที่เหมาะสม และแปลคำอธิบายสินค้าเป็นภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติเพื่อรองรับลูกค้าต่างประเทศ รวมทั้งยังมีเครื่องมือที่ช่วยสร้างคอนเทนต์ให้น่าสนใจ อาทิ การตั้งชื่อสินค้า คำบรรยายเชิงตลาด และรูปแบบโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งทั้งหมดนี้ลดภาระผู้ค้ารายย่อยที่ไม่มีพื้นฐานด้านไอทีลงได้อย่างมาก ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ (2564) ยังระบุว่า มูลค่าการจำหน่ายสินค้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มขึ้นกว่า 82,000 ล้านบาทในปีเดียว โดยเฉพาะหมวดสินค้า OTOP อาทิ ผ้าไหม เครื่องจักสาน ข้าวอินทรีย์ และอาหารพื้นบ้าน เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 10.3 จากปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของช่องทางออนไลน์และการใช้เทคโนโลยี AI ในการบริหารจัดการ 


ทั้งสองกรณีชี้ให้เห็นว่า เมื่อเทคโนโลยีอย่าง AI ถูกออกแบบโดยยึดพื้นฐานจาก “โจทย์จริง” ของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากไร่ รูปแบบแอปที่ใช้ง่าย หรือโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม มันก็สามารถกลายเป็น “เครื่องมือที่เข้าใจคน” มากกว่าเป็นเพียง “เครื่องมือที่ฉลาด” เทคโนโลยีเหล่านี้จึงไม่ได้เป็นของห่างไกลอีกต่อไป แต่สามารถกลายเป็น “เพื่อนร่วมคิด” ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนในชุมชนได้อย่างแท้จริง และนี่คือหัวใจของแนวคิด Local AI — ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกปรับให้เข้ากับปัญหา บริบท และศักยภาพของท้องถิ่นอย่างแท้จริง 



ree

“AI’s Role in Boosting Local Community Potential” บทบาท AI ในการเพิ่มศักยภาพชุมชนท้องถิ่น  


การนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การวิเคราะห์ข้อมูลหรือ การคาดการณ์แนวโน้มตลาดเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยเสริมศักยภาพในด้านต่าง ๆ เช่น 


  • การวิเคราะห์ข้อมูลและแนวโน้มตลาด 

AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการในระดับชุมชนตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น อาทิ การแนะนำสินค้าที่ตลาดต้องการ การวางแผนการผลิตตามพฤติกรรมผู้บริโภค หรือการคำนวณต้นทุน-กำไรอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลตลาดผลไม้ ทำให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูงที่สุดในตลาด ลดปริมาณของเสีย และเพิ่มรายได้ 

  • ระบบสนับสนุนการตัดสินใจและการบริหารจัดการ 

AI สามารถให้คำแนะนำด้านการจัดการธุรกิจ ตั้งแต่การจัดสรรทรัพยากร การคำนวณต้นทุน ไปจนถึงการบริหารสต็อกสินค้า หรือการเลือกช่องทางการขายที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ ยังสามารถพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ที่ใช้งานง่ายและเป็นภาษาไทย เพื่อให้ผู้ใช้งานในท้องถิ่นเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น แอปช่วยจัดการบัญชีรายรับ-รายจ่าย หรือการวิเคราะห์ยอดขายรายวัน 

  • การเข้าถึงแหล่งเงินทุน 

AI ยังสามารถมีบทบาทในการประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ โดยใช้โมเดลเครดิตทางเลือก (Alternative Credit Scoring) ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มที่ไม่มีข้อมูลเครดิตอย่างเป็นทางการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น สตาร์ทอัพหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มใช้เทคนิคนี้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการชำระเงินของลูกค้า และเปิดโอกาสให้ผู้ไม่มีประวัติทางการเงินกู้ยืมได้ 


นอกจากนี้ อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของ AI คือการสนับสนุนการเรียนรู้และฝึกอบรมอย่างเข้าถึงง่าย โดยเฉพาะในชุมชนห่างไกลที่ขาดแคลนบุคลากรด้านการศึกษา เช่น แพลตฟอร์ม AI เพื่อการศึกษา สามารถสร้างคอร์สเรียนออนไลน์ที่ปรับให้เหมาะสมกับระดับของผู้เรียนได้อย่างแม่นยำ อาทิ เกษตรกรสามารถเรียนรู้เทคนิคการปลูกพืชสมัยใหม่ผ่านระบบอัตโนมัติที่เข้าใจง่าย การแปลภาษาและสื่อสารแบบหลายภาษา เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการเรียนรู้ AI กับการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกช่วงวัยสามารถพัฒนาทักษะใหม่ ๆ อาทิ การตลาดออนไลน์ การถ่ายภาพสินค้า หรือการทำบัญชี 



ree

“ความท้าทายของการพัฒนาเศรษฐกิจรากฐานบนศักยภาพของ AI” 


แม้ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะในระดับชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก แต่การนำ AI ไปใช้ในบริบทดังกล่าวยังเผชิญกับอุปสรรคและข้อจำกัดหลายประการที่จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน เช่น การเข้าถึงเทคโนโลยี คนในพื้นที่ชนบทจำนวนมากยังไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรืออุปกรณ์ที่รองรับ AI, การเรียนรู้และยอมรับ บางกลุ่มยังไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี ทำให้เกิดความกลัวหรือไม่มั่นใจในการใช้งาน, ปัญหาความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล การใช้ AI ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งอาจนำมาซึ่งข้อกังวลเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว 


จากความท้าทายที่กล่าวมา ทั้งในด้านการเข้าถึงเทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจของประชาชน และข้อกังวลด้านข้อมูลส่วนบุคคล สะท้อนให้เห็นว่า การนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในประเทศไทยนั้น ยังต้องการการสนับสนุนและการออกแบบเชิงนโยบายที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าการส่งเสริมแบบทั่วไป  โดยประการแรก ภาครัฐควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในระดับหมู่บ้านและชุมชนห่างไกล เช่น การขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงการสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัลในราคาที่เหมาะสม การเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่จะทำให้คนในพื้นที่สามารถเริ่มต้นใช้ AI ได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเพื่อการทำเกษตรอัจฉริยะ การตลาดออนไลน์ การจัดการรายได้ หรือแม้แต่การเรียนรู้ตลอดชีวิต 


ต่อมาควรมีการส่งเสริมองค์ความรู้และทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับ AI อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่ในระดับการศึกษา แต่ในระดับชุมชนควรมีโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการที่เน้น “การใช้ AI อย่างง่ายและเหมาะสมกับบริบท” เช่น การแนะนำแอปพลิเคชันที่ช่วยจัดการการเงิน การตลาด หรือการเกษตร โดยอธิบายผ่านตัวอย่างจริงที่จับต้องได้และใช้ภาษาท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยลดความกลัวหรือความไม่มั่นใจ และสร้างความเข้าใจที่นำไปสู่การใช้งานจริง 



ree

ในขณะเดียวกัน ภาคเอกชนและนักพัฒนาเทคโนโลยีควร ร่วมกันออกแบบแพลตฟอร์ม AI ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (user-friendly) โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านภาษา ทักษะดิจิทัล และบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ ไม่ใช่ทุกชุมชนจะใช้ระบบเดียวกันได้หมด การพัฒนาเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่น และสามารถปรับแต่งตามลักษณะการดำรงชีวิตและธุรกิจของชาวบ้าน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ รัฐยังควรจัดให้มี กรอบนโยบายด้านการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลในระดับชุมชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนกล้าใช้เทคโนโลยี AI โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกละเมิดสิทธิ หรือสูญเสียความเป็นส่วนตัว โดยควรมีทั้งมาตรการด้านกฎหมายและกลไกกำกับดูแลที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับข้อมูลของตนเอง 

สรุป 

AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือสำหรับองค์กรขนาดใหญ่หรือเมืองใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทยอย่างยั่งยืน หากมีการวางแผนและออกแบบการประยุกต์ใช้ อย่างเหมาะสม AI สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และสนับสนุน การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น 

การบูรณาการ AI เข้ากับเศรษฐกิจฐานรากจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐในการวางนโยบายและลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ภาคเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม และ ภาคประชาชนในการเรียนรู้และเปิดรับการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี AI ควรถูกออกแบบให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง และไม่ซับซ้อนจนเกินไป 

ท้ายที่สุด หากประเทศไทยสามารถนำ AI มาใช้ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจฐานราก ได้สำเร็จ ก็จะสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และสร้างระบบเศรษฐกิจที่มั่นคง ยั่งยืน และเท่าเทียมมากยิ่งขึ้นในอนาคต 


ที่มา :

 

 

bottom of page