top of page

Space Tech: โอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุคใหม่

ree

เมื่อวงโคจรกลายเป็นเวทีแข่งขันใหม่ของโลก ดาวเทียมกำลังถูกยกระดับเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่เชื่อมโยงข้อมูล ผู้คน และการตัดสินใจเชิงนโยบายเข้าด้วยกัน ในปี 2025 จึงถือว่าเป็นปีแห่งจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมดาวเทียม จากเทคโนโลยีที่เคยทำหน้าที่เพียงสื่อสารระหว่างภูมิภาค กำลังก้าวเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน “เศรษฐกิจข้อมูล” ที่มีบทบาทครอบคลุมตั้งแต่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล การเกษตรแม่นยำ การจัดการภัยพิบัติ ไปจนถึงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ 


บทความนี้จะพาผู้อ่านทำความเข้าใจ 4 แนวโน้มหลักของ Space Tech ที่กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงโลก พร้อมเจาะลึก กรณีศึกษาจากประเทศจีน ที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลดาวเทียมให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่ใช้จริงได้ และปิดท้ายด้วย โอกาสและความท้าทายของประเทศไทย ในการต่อยอด Space Tech สู่ Downstream Applications ที่สร้างคุณค่าใหม่ทางเศรษฐกิจ



แนวโน้มสำคัญที่กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมดาวเทียม


การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมดาวเทียมในปี 2025 เกิดขึ้นโดยมีแรงขับเคลื่อนที่ชัดเจนจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เริ่มพิสูจน์ศักยภาพในระดับโลกแล้ว แต่ละแนวโน้มไม่เพียงสะท้อนความก้าวหน้าทางวิศวกรรมและนวัตกรรม แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างธุรกิจ การสื่อสาร และเศรษฐกิจข้อมูลในภาพรวม แนวโน้มสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง มีดังนี้:


  • Mega Constellations & LEO Constellation: การขยายเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) หลายพันดวงกำลังเกิดขึ้นจริง ผู้ให้บริการที่เปิดใช้งานแล้ว ได้แก่ Starlink และ OneWeb ขณะที่ Amazon Kuiper อยู่ระหว่างการเตรียมให้บริการ เครือข่ายเหล่านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารผ่านดาวเทียมยุคใหม่ที่ช่วยลดความหน่วง (latency) และขยายบริการบรอดแบนด์ความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วโลก

  • Mobility & Satellite Connectivity: ประสิทธิภาพของ LEO ถูกนำมาต่อยอดสู่บริการที่คุ้นเคยอย่างการสื่อสารบนเรือและเครื่องบิน (Aeronautical) ผลลัพธ์คือการเชื่อมต่อที่เร็วขึ้น หน่วงต่ำลง และเสถียรมากกว่าเดิม แนวโน้มนี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าสำหรับผู้โดยสาร แต่ยังเพิ่มความสามารถในการจัดการเส้นทางและความปลอดภัยของระบบขนส่ง

  • Earth Observation & Analytics:ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงเมื่อผสานกับ AI และ Machine Learning กำลังกลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึกที่ทรงพลัง การเกษตรสามารถคาดการณ์ผลผลิตได้แม่นยำขึ้น การจัดการภัยพิบัติทำได้รวดเร็วและรอบด้านขึ้น ภาครัฐและเอกชนใช้ข้อมูลเพื่อเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและเตือนภัยฉุกเฉินล่วงหน้า ขณะเดียวกัน เมืองต่าง ๆ ยังนำข้อมูลเหล่านี้ไปสนับสนุนการพัฒนา Smart City ที่ตอบโจทย์ประชาชนมากขึ้น ศักยภาพดังกล่าวทำให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้เร็ว ลดความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ

  • Satellite IoT / M2M: การเชื่อมต่อแบบ direct-to-device ระหว่างดาวเทียมกับอุปกรณ์ IoT รองรับเซนเซอร์ระยะไกลและทำให้การส่งข้อมูลต่อเนื่องยิ่งขึ้น ความสามารถนี้ช่วยยกระดับการติดตามและควบคุมในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโลจิสติกส์และซัพพลายเชนที่ต้องการความถูกต้องและความน่าเชื่อถือสูง การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้นทันที



ree

จากแนวโน้มล่าสุด เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ Space Tech ที่ก้าวออกจากบทบาทเดิมซึ่งเน้นเพียงการสื่อสารผ่านดาวเทียม สู่การประยุกต์ใช้ที่หลากหลายมากขึ้นใน อุตสาหกรรมปลายน้ำ (Downstream Application) ซึ่งไม่เพียงสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ แต่ยังขยายขอบเขตการใช้งานไปสู่ชีวิตประจำวัน เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องยังช่วยลดข้อจำกัดดั้งเดิม เช่น ความหน่วง ความเร็ว และต้นทุน ทำให้การให้บริการมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เห็นได้จากการประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อพื้นที่ห่างไกลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล การทำเกษตรแม่นยำ หรือการบริหารจัดการภัยพิบัติ สำหรับประเทศไทย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะต่อยอดธุรกิจปลายน้ำและสร้างคุณค่าใหม่ในระบบเศรษฐกิจ


กรณีศึกษาจากจีน เป็นภาพสะท้อนที่น่าสนใจ จีนสามารถเปลี่ยน “ข้อมูลดาวเทียม” ให้กลายเป็น Actionable Data ที่นำไปสู่ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ความสำเร็จนี้เกิดจากการบูรณาการข้อมูลจากหลายมิติ ทั้งภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง เซนเซอร์ภาคพื้นดิน แบบจำลองข้อมูล และแพลตฟอร์มวิเคราะห์ พร้อมกับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลลัพธ์คือการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงข้อมูลกับการใช้งานจริง ครอบคลุม 3 ด้านสำคัญ ได้แก่:


  • การจัดการน้ำและป้องกันน้ำท่วม (Flood and Water Management)จีนพัฒนาแพลตฟอร์มจำลองสถานการณ์น้ำท่วมที่ผสาน Hydrodynamic Model เข้ากับเทคโนโลยี Digital Twin ทำให้สามารถประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและบริหารจัดการน้ำได้ใกล้เคียงสถานการณ์จริง การตัดสินใจที่เคยใช้เวลาหลายวันถูกย่นเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง ประชาชนได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างแม่นยำ และลดความเสียหายจากน้ำท่วมได้อย่างชัดเจน

  • การอนุรักษ์พื้นที่และทรัพยากรป่าไม้ (Land and Forest Conservation)จีนใช้ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงระดับ 0.5 เมตร เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ป่าไม้ ตรวจสอบการพังทลายของหน้าดิน พื้นที่ลาดชัน และกิจกรรมที่อาจละเมิดข้อกำหนด ข้อมูลถูกเชื่อมต่อกับระบบควบคุมของภาครัฐ สามารถสั่งภารกิจตรวจสอบภาคสนามและรายงานผลแบบ Real-time แม้ในพื้นที่ไร้สัญญาณอินเทอร์เน็ต ลดการสูญเสียพื้นที่สำคัญและสร้างความโปร่งใสในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

  • การเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture)จีนบูรณาการข้อมูลดาวเทียมกับแบบจำลองผลผลิต (Crop Yield Model) เพื่อติดตามสุขภาพพืชและคาดการณ์ผลผลิตล่วงหน้า ช่วยระบุพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยแล้ง โรคพืช หรือการขาดน้ำ พร้อมเสนอแนวทางจัดการด้านการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย และการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจึงสามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้จริงในเชิงเศรษฐกิจ



ree

จากกรณีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า จีนได้พัฒนาอุตสาหกรรม Space Tech จนสามารถสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ขณะที่ประเทศไทย แม้จะมีผู้เล่นอย่าง บมจ. ไทยคม ที่เริ่มนำภาพถ่ายดาวเทียมมาประยุกต์ใช้ด้านเกษตรและการประเมิน Carbon Watch รวมถึงตั้งเป้าหมายรายได้จาก Space Tech ราว 200 ล้านบาทต่อปีในอีก 2 ปีข้างหน้า (คิดเป็น 10% ของรายได้) แต่ยังคงเผชิญความท้าทายสำคัญหลายด้าน ได้แก่:


  • แพลตฟอร์มและการรวมฐานข้อมูลกลางแม้ประเทศไทยจะมีการจัดเก็บและใช้ข้อมูลจากดาวเทียมในบางภาคส่วนแล้ว แต่ยังขาดการบูรณาการข้อมูลจากหลากหลายแหล่งอย่างเป็นระบบ ซึ่งแพลตฟอร์มเป็นปัจจัยสำคัญที่รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำให้การเข้าถึงการใช้งานที่สะดวกและเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ (Action) นอกจากนี้ แพลตฟอร์มนอกจากจะใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ และการแสดงข้อมูลแบบReal-time ยังสามารถทำให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ

  • การสร้างความต้องการใช้งานดาวเทียม (Demand) ในประเทศไทยมีการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมที่ไม่สูงมาก ซึ่งการส่งเสริมอุตสาหกรรม Space Tech และอุตสาหกรรมปลายน้ำที่เกี่ยวข้องต้องมีการเพิ่มความต้องการใช้งานพร้อมๆ กับการพัฒนาเทคโนโลยี โดยการสร้างความต้องการใช้งานสามารถทำได้จากการที่ภาครัฐมีการผลักดันกรณีศึกษาของการใช้งานดาวเทียมในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในระดับรัฐ และเอกชน เพื่อให้เห็นถึงความสามารถในการประยุกต์ใช้ข้อมูลดาวเทียม ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตของ Space Economy และการสร้าง Ecosystem ในระยะยาว

  • การสนับสนุนผู้ประกอบการและการวิจัยพัฒนาประเทศไทยยังขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมดาวเทียม และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลดาวเทียม รวมถึงผู้ประกอบการดาวเทียมที่เป็นผู้ประกอบการรายเล็กจำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง รวมถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยพัฒนาที่เป็นส่วนของอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ต้องมีการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก



ree

การพัฒนาอุตสาหกรรม Space Tech ของไทยยังควรเร่งแก้โจทย์สำคัญ ทั้งการบูรณาการข้อมูลดาวเทียมให้เชื่อมโยงเป็นระบบ และการสร้างแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนข้อมูลเหล่านี้ให้กลายเป็น “Actionable Data” ที่ใช้ตัดสินใจได้จริง อนาคตของไทยจะไม่ได้วัดกันเพียงแค่การมีเทคโนโลยีดาวเทียม แต่คือความสามารถในการต่อยอดสู่บริการปลายน้ำ (Downstream Applications) ที่สร้างคุณค่าแก่ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสร้าง “Demand” ที่เข้มแข็ง ผ่านการนำเสนอกรณีศึกษาและการสนับสนุนผู้ใช้งานจริง พร้อมเดินคู่ไปกับนโยบายที่หนุนผู้ประกอบการรายย่อยและบุคลากรในอุตสาหกรรม ทั้งด้านการลงทุนและการวิจัยพัฒนา เพื่อปิดจุดอ่อน สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแรง และผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้เล่นสำคัญบนเวทีโลกอย่างแท้จริง

 


ที่มา:


bottom of page