Data Meets Creativity: Transform Data into Creative Content ข้อมูลกับความคิดสร้างสรรค์ พลังคู่ขับเคลื่อนความสำเร็จยุคใหม่
- timeconsulting10
- 10 ต.ค.
- ยาว 2 นาที

รู้หรือไม่? ผู้คนวันนี้ไม่ได้สนใจเพียงตัวเลขหรือสถิติ แต่ให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องที่ทำให้ข้อมูลเข้าใจง่ายและเห็นภาพชัดเจน สำหรับภาครัฐและเอกชนที่ต้องสื่อสารข้อมูลจำนวนมาก การเล่าเรื่องจากข้อมูลช่วยให้ข้อมูลซับซ้อนถูกถ่ายทอดอย่างเข้าใจง่าย ตรงประเด็น และเชื่อมโยงกับชีวิตจริง ในบริบททีมที่ปรึกษาของเรา เราแปลงข้อมูลดิบเป็นเนื้อหาเชิงกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นรายงาน อินโฟกราฟิก วิดีโอ หรือบทความ ซึ่งช่วยให้ข้อมูลเข้าถึงประชาชนได้กว้างขึ้น เสริมความน่าเชื่อถือ และต่อยอดสู่การสร้างนโยบายหรือประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น สิ่งที่สร้างความแตกต่างไม่ใช่แค่ “เรามีข้อมูลอะไร” แต่คือ “เราจะเล่าเรื่องจากข้อมูลนั้นอย่างไร” และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการสื่อสารด้วย Storytelling ผสมผสานกับ Creativity จากข้อมูล จึงมีความสำคัญต่อการทำงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่ต้องการทั้งความชัดเจน โปร่งใส และความน่าเชื่อถือในทุกการสื่อสาร และในบทความนี้ TIME Consulting จะพาคุณไปสำรวจมุมมอง แนวคิด และตัวอย่าง ที่จะทำให้เห็นว่า “Data + Creativity” ไม่ได้เป็นเพียงแค่สูตรผสมใหม่ แต่คือกุญแจสำคัญในการยกระดับทั้งการสื่อสารและการสร้างคุณค่าในทุกมิติ
Data + Creativity = พลังการสื่อสารที่ขับเคลื่อนอนาคต
ข้อมูลหรือ Data องค์กรทุกขนาดได้ให้ความสำคัญ และมีการนำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนธุรกิจและการลงทุน การออกแบบกลยุทธ์การตลาด การคาดการณ์แนวโน้มและความเสี่ยง การสร้างนโยบายที่สอดรับกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งการใช้ Data อย่างเหมาะสมช่วยให้องค์กรทำงานได้อย่าง มีประสิทธิภาพ (Efficiency) และมีความแม่นยำ (Accuracy) มากยิ่งขึ้น แต่ความน่าสนใจของ Data ไม่ได้มีเพียงมิติธุรกิจเท่านั้น เพราะยังสามารถถูกต่อยอดเป็นคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ เชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายได้ นี่คือจุดที่ Data และ Creativity มาบรรจบกัน ทำให้การสื่อสารไม่เพียง “เป็นประโยชน์” แต่ยัง “ทรงพลัง” ในการเข้าถึงและสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนอย่างแท้จริง
ตัวอย่างสถิติที่สะท้อนความสำคัญของการเล่าเรื่องจากข้อมูล เช่น งานวิจัยจาก Content Marketing Institute พบว่า 60% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบสนองต่อข้อมูลที่ถูกนำเสนอในรูปแบบเรื่องเล่าหรือ Infographic มากกว่าข้อมูลตัวเลขล้วน ๆ และ Google Data Studio รายงานว่าการใช้ Visualization หรือ Storytelling สามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจข้อมูลเร็วขึ้น 80% และ จดจำเนื้อหาได้นานขึ้นถึง 70% สิ่งนี้สะท้อนว่า ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) คือกุญแจสำคัญในการตีความข้อมูลให้ออกมาเป็นภาพที่เข้าใจง่าย เพิ่มอารมณ์ ความหมาย และประสบการณ์ลงไปในตัวเลข เพื่อทำให้ผู้รับสารเห็นความเชื่อมโยงว่า “ข้อมูลเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเขาอย่างไร และสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง” ดังนั้น ไม่ว่าภาครัฐหรือภาคเอกชน ต่างสามารถใช้ Creativity เป็น “สะพาน” เชื่อมข้อมูลกับผู้คน เพื่อสื่อสารนโยบาย ข้อมูลสาธารณะ หรือโครงการต่าง ๆ ให้เข้าถึง เข้าใจง่าย และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

“Make Data Come Alive” กรอบ 5 ขั้นตอน สร้างเนื้อจากข้อมูลที่ซับซ้อน
แน่นอนว่าการเล่าเรื่องจากข้อมูล (Data Storytelling) ไม่ใช่แค่การนำตัวเลขมาเรียง แต่เป็นกระบวนการเปลี่ยนข้อมูลให้กลายเป็นเรื่องราวที่ผู้ฟังเข้าใจ และสามารถนำไปใช้ตัดสินใจได้ Framework 5 ขั้นตอน นี้ช่วยให้การเล่าเรื่องมีความชัดเจน กระชับ และเข้าถึงผู้ฟังได้จริง โดยเริ่มจากการระบุเป้าหมายชัดเจน (Define) ก่อนเริ่มเล่าเรื่อง สิ่งสำคัญคือการระบุเป้าหมายให้ชัดเจน ต้องตอบให้ได้ว่า “เราต้องการให้ผู้ฟังทำอะไรหลังจากได้รับข้อมูลนี้?” การกำหนดเป้าหมายการสื่อสารช่วยให้เราเลือกวิธีนำเสนอและเนื้อหาที่เหมาะสม เช่น หากต้องการแจ้งข่าวสาร (Inform) อาจเป็นการรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส หากต้องการโน้มน้าว (Persuade) อาจเสนอให้ผู้บริหารลงทุนในโครงการใหม่ หรือหากต้องการสร้างความเข้าใจ (Educate) อาจอธิบายผลกระทบของนโยบายใหม่ต่อพนักงาน การระบุเป้าหมายชัดเจนช่วยให้เรามุ่งเน้นไปที่ข้อมูลที่สำคัญ ไม่หลงทาง ไม่ใส่ตัวเลขหรือรายละเอียดที่ไม่จำเป็น และยังทำให้เรื่องราวมีพลังและความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
จากนั้นให้เลือกข้อมูลที่สำคัญ (Simplify) เพราะข้อมูลดิบมักมีจำนวนมากและซับซ้อน หากใส่ทุกตัวเลขในการเล่าเรื่อง ผู้ฟังอาจสับสนและรู้สึกล้า วิธีทำให้เรียบง่ายคือการเลือกตัวเลขหรือแนวโน้มที่สำคัญและสอดคล้องกับเป้าหมาย ใช้ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายแทนตัวเลขเชิงสถิติที่ซับซ้อน และตัดข้อมูลที่ไม่จำเป็นหรือไม่เกี่ยวข้องออก การ Simplify ช่วยให้ผู้รับสารจับใจความได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น แทนที่จะบอกว่า “ประชากรมีอัตราการป่วย 9.7%” สามารถพูดว่า “ประมาณ 1 ใน 10 คนที่คุณรู้จักอาจได้รับผลกระทบ” ซึ่งเข้าใจง่ายและจับภาพได้ทันที

และควรเลือกใช้ภาพแทนตัวเลข (Visualize) เพราะสมองของมนุษย์เข้าใจภาพได้เร็วกว่าการอ่านตัวเลข การใช้ภาพช่วยให้เรื่องราวชัดเจนและจดจำได้ง่ายขึ้น รูปแบบที่สามารถใช้ได้ เช่น Infographic สำหรับสรุปข้อมูลเชิงลึกในหน้าเดียว, Dashboard ที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถโต้ตอบและเห็นแนวโน้มได้ทันที, และ Visual Report ที่เปรียบเทียบตัวเลขและแนวโน้มด้วยกราฟแท่งหรือกราฟเส้น การ Visualize ช่วยลดความเสี่ยงในการตีความตัวเลขผิด เพิ่มความน่าสนใจ และทำให้สามารถแชร์ข้อมูลต่อในทีมได้ง่าย เคล็ดลับสำคัญคือการใช้สีสื่อความหมาย เช่น สีแดงแทนปัญหา สีเขียวแทนพัฒนาการดี เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจข้อมูลได้ทันทีโดยไม่ต้องอ่านตัวเลขเชิงลึก พร้อมกับการเชื่อมโยงข้อมูลกับชีวิตจริง (Humanize) เพราะข้อมูลจะมีความหมายก็ต่อเมื่อผู้ฟังรู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับตัวเอง วิธีการทำคือแปลงสถิติให้เป็นตัวอย่างในชีวิตจริง ใช้เรื่องราวของบุคคล เช่น กรณีศึกษา (Case Study) หรือคำรับรอง (Testimonial) และแสดงผลกระทบต่อผู้คน ชุมชน หรือองค์กร การ Humanize ช่วยทำให้ผู้รับสารรู้สึกว่า “ฉันมีส่วนเกี่ยวข้อง” ซึ่งช่วยสร้างความเข้าใจและแรงกระตุ้นในการตัดสินใจ

และควรการเล่าเรื่องในหลายรูปแบบ (Diversify) เป็นแนวทางที่ช่วยให้ผู้ฟังแต่ละคนสามารถเข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เพราะแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน บางคนชอบอ่าน ขณะที่บางคนชอบดูวิดีโอ รูปแบบเนื้อหาที่สามารถนำมาใช้ได้มีหลากหลาย เช่น รายงานเชิงลึกสำหรับผู้บริหาร บทความสั้นสำหรับพนักงาน วิดีโอสั้นหรือ Reels สำหรับผู้ฟังออนไลน์ และ Infographic สำหรับแชร์บน Social Media การ Diversify จึงช่วยเพิ่มโอกาสที่เรื่องราวจะถูกเข้าใจและจดจำได้ทั่วถึง อีกทั้งยังสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มผู้ฟังที่หลากหลาย เคล็ดลับสำคัญคือการเลือกรูปแบบเนื้อหาตามช่องทางและพฤติกรรมของผู้ฟัง เช่น หากกลุ่มเป้าหมายเป็น Gen Z ควรเน้นวิดีโอสั้นหรือ GIF เพื่อให้เข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
สรุปจากแนวทางทั้ง 5 ข้อ ผู้รับสารจะได้รับ Insight ที่ลึกซึ้ง ในการสื่อสารข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถ Define Clear Objectives เลือกและ Simplify Key Information ให้จับใจความง่าย ใช้การ Visualize Data เพื่อสร้างความเข้าใจทันที และ Humanize Content ทำให้ข้อมูลมีความหมายต่อผู้ฟัง อีกทั้งยังสามารถ Diversify Storytelling เพื่อเข้าถึงผู้ฟังหลากหลายกลุ่ม ผลลัพธ์คือ ข้อมูลจะกลายเป็น Powerful, Actionable Intelligence ที่ไม่เพียงแค่ถ่ายทอดตัวเลขหรือข้อเท็จจริง แต่สร้าง Impact, Engagement และการตัดสินใจที่ชาญฉลาด ในชีวิตและธุรกิจ

ในยุคดิจิทัล หลายองค์กรยังเผชิญปัญหาการกระจายข้อมูลอยู่ในหลายแหล่ง ทำให้ยากต่อการเข้าถึง วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ข้อมูลจำนวนมากมักอยู่ในรูปแบบที่อ่านยากหรือไม่เป็นระบบ ทำให้หน่วยงาน องค์กร และประชาชนไม่สามารถเห็นภาพรวม เข้าใจแนวโน้ม หรือวางแผนธุรกิจและนโยบายได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้โอกาสในการสร้างกลยุทธ์ใหม่ ๆ และตัดสินใจเชิงรุกสูญเสียไป ที่ TIME Consulting เราเห็นโอกาสที่มากกว่านั้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ได้ ทำให้ทุกกราฟ ทุกตัวเลข ทุกชุดข้อมูลกลายเป็นเรื่องราวที่เข้าใจง่าย และเข้าถึงผู้รับสาร ช่วยสร้างความเข้าใจ สร้างแรงบันดาลใจ และผลักดันการตัดสินใจ
TIME Consulting เป็นทีม End-to-End ที่ขับเคลื่อนการสื่อสารด้วยข้อมูลและเรื่องเล่า ความแตกต่างของเราคือไม่ได้แค่ “ให้คำปรึกษา” แต่มีทีมทำงานครบทุกมิติ ประกอบด้วย Data Analyst ที่วิเคราะห์และแปรข้อมูลดิบของรัฐหรือองค์กรให้กลายเป็น Insight ที่จับต้องได้, Content Creator ที่สร้างสรรค์รูปแบบการสื่อสารทั้ง Infographic, Video Story, Interactive Content หรือ Case Study และ Storyteller ที่เข้าใจผู้คน ถ่ายทอดเรื่องยากให้ง่าย เข้าใจได้ทันที พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้รับสาร ด้วยการทำงานแบบ End-to-End นี้ TIME Consulting สามารถรับโจทย์ซับซ้อนจากหน่วยงานรัฐหรือองค์กร และส่งมอบผลลัพธ์ที่ไม่ใช่แค่ “รายงานเชิงกลยุทธ์” แต่คือการสื่อสารที่ทำให้ประชาชนเข้าใจ เห็นคุณค่า และอยากมีส่วนร่วม สร้างแรงบันดาลใจ และทุกโครงการมีความหมายที่ผู้รับสารรับรู้ได้อย่างแท้จริง!


