Global Insights for Local Solutions: Toward Inclusive Digital Access in Thailandสร้างสังคมไทยที่เข้าถึงดิจิทัลอย่างทั่วถึง
- timeconsulting10
- 3 วันที่ผ่านมา
- ยาว 2 นาที

เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ การทำงาน ทว่าประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหา "ช่องว่างทางดิจิทัล" (Digital Divide) ที่ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล หรือพื้นที่ที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์อีกหลายล้านคน ยังไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางดิจิทัลได้อย่างแท้จริง
โดยบทความนี้ จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจเบื้องหลังแนวคิดโครงการสำคัญจากภาครัฐที่เปรียบเสมือน "สะพานดิจิทัล" เชื่อมเมืองและชนบทเข้าด้วยกัน พร้อมสำรวจกรณีศึกษาจากต่างประเทศ ในเส้นทางสู่เป้าหมาย “ลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล” อย่างยั่งยืนและทั่วถึง
“Thailand's Current Landscape” กับความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล
ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งการขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไปยังพื้นที่ชนบท อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีจะพัฒนาอย่างรวดเร็วแต่ยังคงมีช่องว่างระหว่างกลุ่มคนที่สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้กับกลุ่มที่ยังขาดโอกาสซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองในบริบทของ "ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล" โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่าในระหว่างปี 2566 – 2567 ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 89.5 ในปี 2566 เป็นร้อยละ 90.9 ในปี 2567 โดยประชากรในกรุงเทพมหานครมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 97.5 มากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่ครอบคลุมและมีผู้ให้บริการหลายรายทำให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่าย
จากข้อมูลข้างต้นทำให้เห็นว่า ถึงแม้อัตราการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคนไทยโดยรวมจะเพิ่มขึ้นแต่ช่องว่างระหว่าง “กลุ่มที่มีโอกาส” และ “กลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึง” ยังคงปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ห่างไกล รวมถึงพื้นที่ที่ไม่คุ้มค่าในการลงทุนทางพาณิชย์ ส่งผลกระทบต่อโอกาสทางการศึกษา การประกอบอาชีพ การเข้าถึงบริการภาครัฐ และการพัฒนาทักษะดิจิทัลในระยะยาวของประชาชนกลุ่มดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide)

ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide) เป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพโดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ด้านหลัก
Education – การขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ในพื้นที่ห่างไกล ส่งผลให้เด็กและเยาวชนในชนบทยังไม่สามารถเข้าถึง online learning platforms ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดช่องว่างของการพัฒนาทักษะดิจิทัลในระยะยาว
SMEs & Gig Economy – กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะในภูมิภาค ยังเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การเข้าถึงระบบชำระเงินออนไลน์ การใช้เครื่องมือการตลาดดิจิทัล และการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับธุรกิจในเมืองหรือจากต่างประเทศได้อย่างเต็มที่
e-Government – แม้ว่ารัฐไทยจะมีการผลักดันบริการสาธารณะผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การที่ประชาชนบางกลุ่มยังขาดทักษะพื้นฐานด้านดิจิทัล ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิหรือข้อมูลบริการที่ควรได้รับ กลายเป็นช่องว่างในการกระจายทรัพยากรสาธารณะและลดประสิทธิภาพของโครงการรัฐ
Future Workforce – การขาดทักษะด้านดิจิทัลอย่างเป็นระบบ นำไปสู่ปัญหา Digital Talent Gap ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาแรงงานในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังลงทุนใน Human Capital อย่างต่อเนื่อง ความล่าช้าในการอัปสกิลแรงงานไทยอาจกลายเป็นปัจจัยจำกัดในการดึงดูดการลงทุนจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง
ภาพรวมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่ภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร ต้องร่วมกันออกแบบแนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การพัฒนาเนื้อหาและบริการที่เข้าใจง่าย หรือการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ด้านการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้จริงในทุกกลุ่มประชากร

“เรียนรู้จากเมืองต้นแบบ กรณีศึกษาต่างประเทศที่ปิดช่องว่างดิจิทัลได้จริง”
เส้นทางสู่ความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงเทคโนโลยีสะท้อนช่องว่างของโอกาสทางการศึกษา บริการสุขภาพ และการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม ภายใต้บริบทนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ได้ดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ คือ โครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งมุ่งเน้นการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมหมู่บ้านทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศไทย
ในต่างประเทศเองก็เคยเผชิญความท้าทายแบบเดียวกันในการเชื่อมต่อประชาชนทุกกลุ่มเข้ากับโลกดิจิทัล ท่ามกลางข้อจำกัดด้านงบประมาณ ภูมิประเทศ และความเหลื่อมล้ำเชิงสังคม แต่ด้วยแนวคิดและการลงมือทำอย่างมุ่งมั่นทำให้สามารถพลิกสถานการณ์จากพื้นที่ที่เข้าไม่ถึงให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้ โดยมีตัวอย่างที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

ประเทศออสเตรเลีย: NBN Co กับโครงข่ายเพื่อทุกคน ได้จัดตั้งบริษัท NBN Co ขึ้นในปี 2009 ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่มีภารกิจหลักในการพัฒนาโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (National Broadband Network – NBN) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จุดแข็งของโครงการนี้คือโมเดลแบบ “Wholesale-only” ซึ่งเน้นการสร้างโครงข่ายหลักในระดับประเทศ แล้วเปิดให้ผู้ให้บริการเอกชนทุกรายสามารถเข้ามาใช้โครงข่ายร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม ส่งผลให้เกิดการแข่งขัน ลดการผูกขาด และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยปัจจุบันมีบริการ “Sky Muster” ซึ่งเป็นอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่ออกแบบมาเพื่อพื้นที่เกาะและชุมชนห่างไกล ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่เหล่านี้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงได้ใกล้เคียงกับในเมืองใหญ่
สหราชอาณาจักร (UK): การลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลผ่านยุทธศาสตร์ Digital Inclusion Strategy ลดช่องว่างทางดิจิทัลผ่านยุทธศาสตร์ Digital Inclusion Strategy และยังให้ความสำคัญกับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ โดยยุทธศาสตร์ฉบับนี้เน้นครอบคลุม 3 มิติหลัก ได้แก่
1) การเข้าถึง (Access) ขยายโครงข่ายบรอดแบนด์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
2) การมีทักษะ (Skills) พัฒนาทักษะดิจิทัลพื้นฐานให้กับทุกกลุ่มวัย และผู้ที่อยู่นอกระบบการจ้างงาน
3) แรงจูงใจในการใช้งาน (Motivation) ส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญ และประโยชน์ของการใช้อินเทอร์เน็ต

“4 เสาหลักสู่ความเสมอภาคและเท่าเทียมด้านดิจิทัลในประเทศไทย”
บทเรียนจากต่างประเทศสะท้อนให้เห็นว่าต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมและมีเป้าหมายร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และสำหรับประเทศไทยการเดินหน้าสู่ความเท่าเทียมทางดิจิทัลอย่างยั่งยืนควรตั้งอยู่บน 4 เสาหลักสำคัญ ได้แก่
1) Infrastructure Equity: สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและอุปกรณ์ดิจิทัลควรเป็น “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ของพลเมืองในยุคดิจิทัล ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม อาทิ โครงข่ายบรอดแบนด์พื้นฐาน โครงสร้าง 5G จุดกระจายสัญญาณ Wi-Fi สาธารณะ และศูนย์บริการดิจิทัลประจำชุมชนครอบคลุมทั่วประเทศ
2) Service Innovation: พัฒนาโซลูชันและบริการที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้ใช้ ซึ่งผู้ให้บริการโทรคมนาคมควรพัฒนาบริการและแพ็กเกจที่ตอบโจทย์กลุ่มเปราะบางทั้งในด้านราคาที่ควรเข้าถึงได้ในทุกกลุ่มผู้ใช้งาน และรูปแบบที่ใช้งานที่ง่ายสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้มีข้อจำกัดด้านภาษา อีกทั้ง บริการดิจิทัลควรสอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้ใช้งานจริง เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิต
3) Skill Development: ยกระดับทักษะดิจิทัลให้ครอบคลุมทุกช่วงวัยและทุกพื้นที่ มุ่งเน้นการยกระดับทักษะอย่างเป็นระบบตั้งแต่ระดับพื้นฐานในชุมชน อาทิ การใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ไปจนถึงทักษะขั้นสูง การทำงานผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือการใช้เครื่องมือดิจิทัลในภาคเกษตรและธุรกิจรายย่อย
4) Sustainable Investment: ส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยความร่วมมือแบบ PPP พื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลจำนวนมากยังไม่มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพียงพอให้ภาคธุรกิจลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รัฐบาลจึงควรขับเคลื่อนผ่านกลไก Public-Private Partnership (PPP) เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน อาทิ เงินอุดหนุน หรือสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เพื่อให้ภาคเอกชนมีแรงจูงใจในการร่วมลงทุนในพื้นที่ที่จำเป็นมากที่สุด ซึ่งความร่วมมือในลักษณะนี้จะช่วยเปิดพื้นที่ใหม่ ๆ ให้สามารถเชื่อมต่อกับโอกาสทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น
เมื่อทั้ง 4 เสาหลักนี้ได้รับการพัฒนาอย่างสมดุล เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ และมีพลังร่วมจากทุกภาคส่วน ความเท่าเทียมทางดิจิทัลก็จะไม่ใช่เพียงแนวคิดในเชิงอุดมคติ หากแต่จะกลายเป็น “โครงสร้างแห่งโอกาส” ที่จับต้องได้จริง นี่คือก้าวสำคัญของประเทศไทยในการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนและก้าวสู่อนาคตดิจิทัลที่ครอบคลุมและยั่งยืน

ดั้งนั้น การสร้างสังคมดิจิทัลที่ยั่งยืนจำเป็นต้องเกิดจาก “ความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรม” ไม่ว่าจะเป็นการจับมือระหว่างผู้ให้บริการโทรคมนาคมกับ EdTech เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษา หรือกับ FinTech เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินในกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงระบบธนาคาร ความร่วมมือเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดความเหลื่อมล้ำในระดับสังคม แต่ยังเปิดพื้นที่ทางธุรกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตอย่างทั่วถึง นี่จึงเป็นทั้งพันธกิจและโอกาสของภาคเอกชนไทยในยุคที่ “การเข้าถึงเทคโนโลยี” คือกุญแจสู่ความเสมอภาคในสังคมสมัยใหม่
ที่มา:
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม: เน็ตประชารัฐ(https://npcr.netpracharat.com/AboutNetpracharat/About.aspx)
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม: สรุปภาพรวมการดำเนินงานโครงการเน็ตประชารัฐ 2564 (https://www.senate.go.th/assets/portals/126/fileups/345/files/1%20%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90_DE_190164(1).pdf)
สำนักงานสถิติแห่งชาติ: การสำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2567 (https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2025/20250228090924_27941.pdf)
BCG: The National Broadband Network in Australia (https://centreforpublicimpact.org/public-impact-fundamentals/the-national-broadband-network-in-australia/)
Ministry of Communication India: BharatNet Project (https://usof.gov.in/en/bharatnet-project)
Government UK: Digital Inclusion Strategy (https://www.gov.uk/government/publications/government-digital-inclusion-strategy/government-digital-inclusion-strategy)
UK Parliament: Gigabit Broadband (https://commonslibrary.parliament.uk/research-briefings/cbp-8392/)