top of page

Quantum Computing การประมวลผลแห่งอนาคต และบทบาทของที่ปรึกษาในการขับเคลื่อนอนาคต

ree


ในปี 2025 โลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการประมวลผลข้อมูล เมื่อ Quantum Computing หรือการประมวลผลเชิงควอนตัมได้เริ่มก้าวออกจากขอบเขตของการวิจัย และเข้าสู่การใช้งานในภาคธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป การที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้ปี 2025 เป็น “ปีสากลแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควอนตัม” เป็นการส่งสัญญาณถึงความเร่งด่วนที่องค์กรทุกระดับต้องเริ่มเรียนรู้ เตรียมตัว และปรับตัว


เมื่อเทคโนโลยีนี้พัฒนาจนพร้อมใช้งานในระดับอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจจะสามารถใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ทั้งในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การจัดการความเสี่ยง และการสร้างนวัตกรรมรูปแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีควอนตัมมาใช้จริงยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความซับซ้อนของแนวคิดควอนตัม หรือการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทาง

องค์กรธุรกิจควรเริ่มวางแผนรับมือและปรับตัว เพื่อเตรียมพร้อมสู่ยุคควอนตัม (Quantum Edge) เช่นเดียวกับที่หลายองค์กรได้เร่งปรับกลยุทธ์เพื่อตอบรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา


การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควอนตัมแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก


1) เทคโนโลยีการตรวจวัดเชิงควอนตัม (Quantum Sensing) ใช้ประโยชน์จากความไวในการตรวจจับของระบบควอนตัม เช่น การพัฒนาระบบนำทางที่มีความแม่นยำสูงกว่าระบบ GPS ที่ใช้กันทั่วไป


2) เทคโนโลยีการสื่อสารเชิงควอนตัม (Quantum Communication) ประยุกต์ใช้เพื่อสร้างระบบการเข้ารหัสข้อมูลที่มีความปลอดภัยระดับสูง โดยเฉพาะในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลทางการเงินหรือด้านสาธารณสุข ซึ่งรัฐบาลอังกฤษได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการวิจัยเทคโนโลยีนี้ในปี 2567


3) การประมวลผลเชิงควอนตัม (Quantum Computing) เป็นรูปแบบที่มีศักยภาพสูงสุดในการนำไปใช้งาน โดยใช้หลักการของควอนตัมเพื่อเร่งความเร็วในการคำนวณข้อมูลมหาศาล ที่ระบบคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รายงานของ McKinsey คาดการณ์ว่า ตลาดของ Quantum Computing จะมีมูลค่าทะลุ 131 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2040



ree


โดยบทความนี้จะพาไปรู้จักกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีควอนตัมในมิติของ Quantum Computing มากขึ้น ซึ่ง Quantum Computing เป็นเทคโนโลยีที่ใช้หลักการของควอนตัมฟิสิกส์มาประมวลผลข้อมูล โดยมีหน่วยข้อมูลพื้นฐานที่เรียกว่า “คิวบิต (Qubit)” ซึ่งต่างจากบิตในคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่มีสถานะเป็น 0 หรือ 1 เท่านั้น คิวบิตสามารถอยู่ในสถานะ 0, 1 หรือทั้งสองพร้อมกัน (superposition) ซึ่งทำให้สามารถคำนวณความน่าจะเป็นหลายชุดพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้เป็นรากฐานที่ทำให้ Quantum Computer มีพลังในการประมวลผลอย่างเหนือชั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีนี้อาจนำไปสู่การปฏิวัติในอุตสาหกรรมที่ต้องการการคำนวณระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรรมเคมี โลจิสติกส์ พลังงาน การเงิน หรือการวิจัยทางชีววิทยา


การลงทุนที่เติบโตอย่างรวดเร็วและระบบนิเวศที่ขยายตัว


เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ ภาครัฐก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน โดยมีการวิจัยและงบประมาณสนับสนุนจำนวนมาก ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM, Google, Amazon และ Microsoft ต่างก็เปิดให้บริการคอมพิวเตอร์ควอนตัมผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งช่วยเร่งการเข้าถึงและการพัฒนาโซลูชันอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น แม้คอมพิวเตอร์ควอนตัมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา แต่หลายอุตสาหกรรมได้เริ่มทดลองใช้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขัน โดยครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่


1)     ด้านเภสัชกรรม คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถจำลองการทำปฏิกิริยาของโมเลกุลในระดับอะตอม ช่วยเร่งกระบวนการค้นคว้าและพัฒนายาใหม่อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2)     ด้านเคมีภัณฑ์ คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถวิเคราะห์กระบวนการเคมีที่ซับซ้อน ช่วยในการออกแบบวัสดุและสารเร่งปฏิกิริยาใหม่

3)     ด้านยานยนต์ อัลกอริธึมควอนตัมช่วยปรับปรุงการวางแผนเส้นทาง การจัดการจราจร และระบบนำทางของรถยนต์อัตโนมัติ

4)     ด้านการเงิน ควอนตัมสามารถใช้วิเคราะห์ความเสี่ยง ปรับแต่งพอร์ตการลงทุน และตรวจจับการฉ้อโกงได้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น

 


ศักยภาพของการประมวลผลเชิงควอนตัม: ปลดล็อกขีดจำกัดของเทคโนโลยีสมัยใหม่


1. ความเร็วในการคำนวณที่เหนือชั้น


เทคโนโลยีควอนตัมมีศักยภาพในการคำนวณที่ก้าวล้ำกว่าเทคโนโลยีแบบเดิมอย่างมาก ตัวอย่างเช่น "Sycamore" ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่พัฒนาโดย Google สามารถแก้โจทย์ที่ซับซ้อนได้ภายในเวลาเพียง 200 วินาที ขณะที่ "Frontier" ซึ่งเป็นหนึ่งในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก แต่ยังต้องใช้เวลากว่า 47 ปีในการประมวลผลโจทย์เดียวกัน แสดงให้เห็นว่าการประมวลผลเชิงควอนตัมสามารถลดเวลาที่ต้องใช้ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และการคำนวณระดับสูงได้อย่างมหาศาล


2. การจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ในยุคที่โลกผลิตข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีการประมวลผลแบบดั้งเดิมเริ่มไม่สามารถรองรับความซับซ้อนและปริมาณของข้อมูลได้อย่างเต็มที่ คาดว่าในปี พ.ศ. 2568 ปริมาณข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 181 เซตตาไบต์ (เทียบเท่ากับ 181 ล้านล้านเทราไบต์) ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลจากพฤติกรรมผู้บริโภค ระบบสาธารณสุข และห่วงโซ่อุปทาน การประมวลผลเชิงควอนตัมจะเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลหลากมิติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบเดิมไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ


3. เพิ่มความแม่นยำในการจำลองและประมาณค่า


ระบบควอนตัมช่วยลดความคลาดเคลื่อนในการวิเคราะห์หรือประมาณค่าทางคณิตศาสตร์และสถิติได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในโจทย์ที่ซับซ้อน เช่น การหาค่าที่เหมาะสมที่สุด (Optimization) หรือการจำลองสถานการณ์ (Simulation) ที่เดิมทีมีความคลาดเคลื่อนในช่วง 20% คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถลดอัตราความผิดพลาดเหล่านี้ลงได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการผสานการประมวลผลเชิงควอนตัมเข้ากับระบบดั้งเดิมในการคาดการณ์ราคาหุ้น ซึ่งช่วยลดค่าความคลาดเคลื่อนให้เหลือเพียงไม่เกิน 10% อย่างไรก็ตาม ต้องมีการควบคุมปัจจัยแวดล้อมทางควอนตัม เช่น การรบกวนของคลื่น (Quantum Noise) ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการประมวลผลได้


4. ยกระดับความสามารถของ AI


อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของ Quantum Computing คือการเสริมพลังให้กับปัญญาประดิษฐ์ โดยช่วยลดเวลาที่ใช้ในการฝึกโมเดล AI และสามารถสร้างข้อมูลสังเคราะห์คุณภาพสูง เพื่อใช้ในการพัฒนา AI ประเภทต่างๆ เช่น Predictive AI และ Generative AI ไม่ว่าจะเป็นการสร้างข้อความ รูปภาพ หรือการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ต้นทุนและเวลาที่ใช้ในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ เช่น LLM (Large Language Model) ลดลงอย่างชัดเจน



ข้อจำกัดของเทคโนโลยีการประมวลผลควอนตัม: ความท้าทายที่ยังต้องฝ่าฟัน


แม้ว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะเปิดประตูสู่การคำนวณที่ทรงพลังระดับใหม่ แต่ยังมีข้อจำกัดที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาสัญญาณรบกวนภายในระบบควอนตัม (Quantum noise) ที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยทางกายภาพรอบตัว เช่น ความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ แรงสั่นสะเทือน หรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แม้การรบกวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ "คิวบิต" ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลของควอนตัมสูญเสียสถานะควอนตัมของตน ส่งผลให้การประมวลผลคลาดเคลื่อนและไม่เสถียร


เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ ระบบควอนตัมต้องถูกควบคุมภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ เช่น ต้องทำงานในอุณหภูมิที่ต่ำมาก ใกล้ศูนย์สัมบูรณ์ (-273.15°C) ซึ่งเทียบได้กับอุณหภูมิที่เย็นที่สุดในจักรวาล การดูแลรักษาสภาพแวดล้อมลักษณะนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อน ขนาดห้องควบคุมของคอมพิวเตอร์ควอนตัมบางเครื่องอาจมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับรถยนต์หนึ่งคันเลยทีเดียว

นอกจากปัญหาทางกายภาพแล้ว ยังมีอุปสรรคในด้าน ซอฟต์แวร์และอัลกอริทึม ที่ใช้กับระบบควอนตัม เนื่องจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมทำงานแตกต่างจากคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมาก จึงต้องใช้ภาษาการเขียนโปรแกรมและตรรกะทางคณิตศาสตร์รูปแบบใหม่โดยเฉพาะ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


สุดท้ายนี้ กระบวนการผลิตฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ควอนตัมเองก็ยังมีความซับซ้อนสูงกว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันอย่างมาก ทั้งในแง่ต้นทุน เทคโนโลยี และความแม่นยำในการประกอบ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการขยายการใช้งานของเทคโนโลยีควอนตัมในระดับอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง


โอกาสของ Quantum Computing ในยุคดิจิทัล


1. พลิกโฉมการวิเคราะห์ข้อมูลและ Big Data

ในโลกปัจจุบันที่มีการผลิตข้อมูลใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นวันละหลายพันล้านกิกะไบต์ Quantum Computer สามารถวิเคราะห์ข้อมูลหลากมิติเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่าเดิมอย่างมหาศาล ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค คาดการณ์ความต้องการสินค้า หรือตรวจพบภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ในระบบได้แบบเรียลไทม์


2. ยกระดับการคาดการณ์และจำลองสถานการณ์

ในอุตสาหกรรมพลังงานหรือการเงิน ซึ่งต้องพึ่งพาการจำลอง (simulation) และการหาค่าเหมาะสมที่สุด (optimization) คอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถช่วยลดระยะเวลาในการทดลองและจำลองได้จากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่นาที ยกตัวอย่างเช่น การคาดการณ์ราคาหุ้น หรือพฤติกรรมการใช้พลังงานในแต่ละฤดูกาล ที่สามารถประมวลผลจากตัวแปรนับล้านพร้อมกันได้


3. ปรับปรุงประสิทธิภาพของ AI และ Machine Learning

Quantum AI เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่เริ่มเห็นการพัฒนาอย่างจริงจังในปี 2025 โดยการใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัมในการฝึกสอนโมเดล (training models) ช่วยลดเวลาและต้นทุนลงได้หลายเท่าตัว นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างข้อมูลสังเคราะห์ (synthetic data) ที่มีความแม่นยำสูง เพื่อใช้ในการพัฒนา AI ให้ตอบสนองกับข้อมูลที่หลากหลายยิ่งขึ้น


4. การถอดรหัสและความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ยุคใหม่

Quantum Computing มีความสามารถในการแก้สมการทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการเข้ารหัสแบบเดิม เช่น RSA หรือ ECC ได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงไซเบอร์ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ก็เป็นโอกาสเช่นกันในการพัฒนา Quantum Cryptography ซึ่งจะเป็นระบบเข้ารหัสที่ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม ด้วยการใช้ฟิสิกส์ควอนตัมแทนสมการทางคณิตศาสตร์



ree


บทบาทของที่ปรึกษาในการใช้งานศักยภาพของเทคโนโลยีควอนตัมในการขับเคลื่อนโลกอนาคต


ในมุมมองของที่ปรึกษา เทคโนโลยี Quantum Computing ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมล้ำสมัย แต่ยังเป็น "ตัวเร่งการเปลี่ยนผ่าน" หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “เทคโนโลยีที่สร้างความพลิกผัน (Disruptive Technology)” ที่สำคัญที่สุดในทศวรรษนี้ เทคโนโลยีนี้อาจยังไม่แทนที่คอมพิวเตอร์แบบเดิมในทันที แต่แนวโน้มของ “Quantum Advantage” ที่เริ่มเกิดขึ้นในบางกรณีการใช้งาน ถือเป็นสัญญาณเตือนให้องค์กรทุกขนาดเริ่มขยับตัว องค์กรที่ต้องการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเริ่มวางยุทธศาสตร์ในการเรียนรู้และทดลองใช้งานเทคโนโลยีควอนตัมตั้งแต่วันนี้ โดยที่ปรึกษาจะเข้ามามีบทบาทในด้านการถ่ายทอดความรู้เชิงเทคนิคให้เข้าใจได้ในเชิงกลยุทธ์ กำหนด Roadmap การลงทุนในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งช่วยวิเคราะห์ Use Case ที่เหมาะสมกับบริบทของธุรกิจ อีกทั้งช่วยคำนึงถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยและการจัดการทรัพยากรบุคคลในยุคควอนตัม ที่ปรึกษาที่มีความเข้าใจทั้งด้านเทคโนโลยีและด้านธุรกิจจึงจะสามารถสร้างมูลค่าให้แก่องค์กรได้อย่างแท้จริงในยุคใหม่นี้ เพราะในโลกยุคใหม่ “ผู้นำที่ปรับตัวก่อน ย่อมเป็นผู้สร้างความได้เปรียบในระยะยาว”


bottom of page