top of page

เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตแค่ไหน? และประเทศไทยจะอยู่ตรงจุดไหนในสมการ

ree


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กำลังได้รับความสนใจในระดับโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศมหาอำนาจอย่างจีนเริ่มชะลอการเติบโต หลายสายตาจึงจับจ้องมาที่กลุ่มประเทศอาเซียนในฐานะ “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจสำรอง” ของภูมิภาค และหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วคือ เวียดนาม ซึ่งจากรายงาน World Economic League Table โดยศูนย์วิจัย CEBR แห่งสหราชอาณาจักร ระบุว่า ภายในปี 2028 เวียดนามมีแนวโน้มจะแซงไทยขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งแนวโน้มนี้ดูเป็นไปได้อย่างมาก หากพิจารณาจากข้อมูลล่าสุดในปี 2024 ที่เวียดนามมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ประมาณ 571,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง เวียดนามสามารถขยับขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภูมิภาค แซงหน้ามาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ได้สำเร็จ และกำลังไล่จี้ไทยอย่างใกล้ชิดในลำดับถัดไป


ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของอาเซียนมายาวนาน กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย การแข่งขันด้านเทคโนโลยี การเมืองภายในประเทศ รวมถึงความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ บทความนี้จึงขอพาผู้อ่านมาสำรวจและเปรียบเทียบภาพรวมเศรษฐกิจของเวียดนามและประเทศไทยในปัจจุบัน ผ่านมุมมองด้านการเติบโต การลงทุน โครงสร้างเศรษฐกิจ และศักยภาพในอนาคต เพื่อหาคำตอบว่า ประเทศใดกำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” แห่งเศรษฐกิจอาเซียนอย่างแท้จริง



“4 พลังหลักที่ผลักดันเศรษฐกิจเวียดนามสู่เวทีโลก”


ประเทศเวียดนามได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น ความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการพัฒนาทางโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางบริบทของเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน เวียดนามกลับแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน ทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่า ประเทศนี้จะกลายเป็น "ดาวรุ่งดวงใหม่" ของเศรษฐกิจโลกในอนาคตอันใกล้ เราจะพาทุกคนร่วมสำรวจปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเวียดนาม ตั้งแต่แนวทางของภาครัฐ การเปิดเสรีทางการค้า การพัฒนาแรงงาน ไปจนถึงบทบาทของเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานโลก โดยปัจจัยดังกล่าวได้แก่


1.  การย้ายฐานการผลิตจากจีน (China +1 Strategy)

นับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มต้นในปี 2018 เวียดนามได้กลายเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับบริษัทข้ามชาติที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาการผลิตในจีน เช่น

  • Apple: บริษัทได้ขยายการดำเนินงานในเวียดนามอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มจำนวนซัพพลายเออร์ในประเทศเป็น 35 ราย ณ ปี 2024 ทำให้เวียดนามเป็นฐานซัพพลายเออร์ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก

  • Samsung: เริ่มลงทุนในเวียดนามตั้งแต่ปี 2008 และได้กลายเป็นผู้ส่งออกหลักของประเทศ โดยในปี 2022 มีมูลค่าส่งออกกว่า 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

  • Intel: ได้ลงทุนในโรงงานประกอบและทดสอบชิปในเวียดนาม และกำลังขยายการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

อย่างไรก็ตาม การหยุดชั่วคราวของภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปี 2025 อาจส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจในการย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนาม โดยการลงทุนจากต่างประเทศในเวียดนามลดลง 30% ในเดือนเมษายนปี 2025


2.  ความพร้อมด้านแรงงานและต้นทุน

ประเทศเวียดนามยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิต ด้วยค่าแรงเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 79,280 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย (142,344 ดอลลาร์สหรัฐ) และสิงคโปร์ (366,561 ดอลลาร์สหรัฐ) ตามข้อมูลจาก InCorp Vietnam จึงทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับการลงทุนด้านการผลิตในระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เวียดนามไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นฐานการผลิตราคาถูก แต่ยังเร่งพัฒนาแรงงานทักษะสูง เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แม้ปัจจุบันแรงงานที่มีทักษะสูงจะคิดเป็นเพียง 28% ของแรงงานทั้งหมด แต่รัฐบาลได้ดำเนินโครงการพัฒนาแรงงานอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทข้ามชาติเช่น Intel และ Apple ก็ได้ลงทุนในการฝึกอบรมและยกระดับทักษะของแรงงานในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายฐานการผลิตและการลงทุนด้านเทคโนโลยีในเวียดนามอย่างยั่งยืน



ree


3.   การเปิดกว้างของรัฐบาลและข้อตกลงการค้า

ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เวียดนามเป็นสมาชิกของข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับ เช่น : CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership): ช่วยลดภาษีและเปิดตลาดใหม่สำหรับสินค้าเวียดนาม EVFTA (EU-Vietnam Free Trade Agreement): เปิดตลาดสหภาพยุโรปให้กับสินค้าเวียดนาม และช่วยกระตุ้นการลงทุนจากยุโรป  RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership): ส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกในเอเชียแปซิฟิก


4.  สิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิ่งจูงใจในการลงทุน

รัฐบาลเวียดนามมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิ่งจูงใจในการลงทุนหลายรูปแบบเพื่อดึงดูดนักลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจสตาร์ทอัพ ดังนี้

  • ยกเว้นภาษีนิติบุคคลและลดอัตราภาษี สำหรับกิจการและโครงการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสตาร์ทอัพ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในนครโฮจิมินห์ รัฐบาลกำหนดให้ยกเว้นภาษีนิติบุคคลหรือให้ลดอัตราภาษีได้ตามเงื่อนไข โดยเฉพาะโครงการที่มีการใช้เทคโนโลยีสูงและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงการลดภาษีนิติบุคคลเหลือเพียง 10% เป็นระยะเวลานานถึง 15 ปี สำหรับบริษัทที่มีการใช้วัตถุดิบ แรงงานที่เกี่ยวข้องกับเวียดนามอย่างน้อย 30%

  • ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับบุคคลที่มีรายได้จากการร่วมลงทุนกับบริษัทสตาร์ทอัพในนครโฮจิมินห์ ภายใต้ข้อกำหนดของสภาประชาชนนครโฮจิมินห์ เช่น การดำเนินงานในด้านนวัตกรรมและได้รับใบรับรองยกเว้นภาษี

  • สิทธิประโยชน์ด้านดอกเบี้ยเงินกู้และการทำธุรกรรม สำหรับโครงการร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระหว่างภาครัฐกับเอกชนแบบ Build-Transfer (BT) ในนครโฮจิมินห์ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

  • ยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบและอุปกรณ์ สำหรับบริษัทที่นำเข้าวัตถุดิบ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัล รัฐบาลเวียดนามยกเว้นภาษีนำเข้าเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

  • นโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านที่ดิน รัฐบาลมีการสนับสนุนด้านที่ดินสำหรับโครงการลงทุนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ เช่น การจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ

  • เสถียรภาพทางการเมืองและการเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรี เวียดนามมีเสถียรภาพทางการเมืองสูงและเป็นสมาชิกข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับ เช่น CPTPP และ EVFTA ซึ่งช่วยเปิดตลาดและเพิ่มโอกาสส่งออกให้นักลงทุน


ประเทศเวียดนามมุ่งเน้นการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง สตาร์ทอัพ และโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านการลดหย่อนภาษีและสิทธิประโยชน์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง



ree


เศรษฐกิจเวียดนามโตสวนกระแสโลก 5 อุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2024–2025


แม้โลกจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค แต่เวียดนามกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยังสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยนโยบายที่ชัดเจน การเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการปรับตัวของอุตสาหกรรมในประเทศอย่างต่อเนื่อง เวียดนามกำลังกลายเป็น “ม้ามืด” แห่งอาเซียนที่หลายประเทศต้องจับตามอง ในหัวข้อนี้จะพาไปสำรวจ 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนามให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และน่าสนใจสำหรับนักลงทุน นักธุรกิจ และผู้ที่ต้องการเข้าใจทิศทางของเศรษฐกิจภูมิภาคในยุคใหม่


  • การผลิตและการแปรรูป: กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องจักร บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Samsung, Foxconn และ Intel ยังคงขยายการลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากต้นทุนแรงงานที่แข่งขันได้และข้อตกลงการค้าที่เอื้ออำนวย

  • เทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม: นโยบายของรัฐที่ต้องการเปลี่ยนเวียดนามเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของภูมิภาค อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลสร้างรายได้ 118 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 โดยมีซอฟต์แวร์และบริการดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญ

  • ภาคบริการ: ปัจจุบันเป็นภาคส่วนที่มีส่วนแบ่งต่อ GDP สูงสุดในปี 2024 เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ครอบคลุมค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ (คาดว่าจะถึง 35 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025) การเงิน โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว

  • พลังงานหมุนเวียน: เวียดนามได้รับการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมากในโซลาร์ วินด์ และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ โดยคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องตามนโยบายการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว

  • เกษตรกรรม ป่าไม้ และประมง: ในปี 2024 การส่งออกสินค้าเกษตร (เช่น ข้าว กาแฟ ผลไม้) มีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมงรวมอยู่ที่ 62.4 พันล้านดอลลาร์

 

นอกจากนี้ ประเทศเวียดนามกำลังก้าวข้ามภาพจำเดิมในฐานะ “โรงงานของโลก” ไปสู่การเป็น ศูนย์กลางการผลิตและนวัตกรรมแห่งใหม่ในเอเชีย อย่างเต็มตัว โดยอาศัยความได้เปรียบจากต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ พร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เมืองใหญ่อย่าง โฮจิมินห์, ฮานอย และดานัง กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมขั้นสูง ทั้งในแง่การเป็นแหล่งรวมของวิศวกรและแรงงานมีทักษะ ไปจนถึงศูนย์กลางของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่เข้ามาลงทุนในประเทศ


ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา Smart City โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจนวัตกรรมอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีการวางแผนลงทุนด้าน โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เช่น ท่าเรือ สนามบิน และเครือข่ายทางหลวง เพื่อเชื่อมโยงเวียดนามเข้ากับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนผ่านจากการเป็นฐานการผลิตสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมจึงไม่ใช่แค่เป้าหมายของเวียดนาม แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่น่าจับตามองในเวทีเศรษฐกิจโลก

 

 

 “บทเรียนและโอกาสสำหรับประเทศในอาเซียนและไทย”


การเติบโตของเวียดนามไม่ควรถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจไทย แต่ควรถูกมองว่าเป็น “แรงขับเคลื่อนร่วม” ในการผลักดันอาเซียนให้เป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก หากไทยต้องการรักษาความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนและคงบทบาทในห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain) จำเป็นต้องมีการปรับตัวในหลายมิติ ดังนี้:


  • เร่งพัฒนาแรงงานทักษะสูงและอัปเกรดอุตสาหกรรมสู่ S-Curve การแข่งขันกับเวียดนามในด้านแรงงานต้นทุนต่ำอาจไม่ใช่คำตอบระยะยาว ประเทศไทยควรมุ่งสู่การเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีระดับสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ และชีวภาพ พร้อมพัฒนาทักษะของแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในอนาคต

  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่ง โลจิสติกส์ หรือดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์ ไทยจำเป็นต้องลงทุนและบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสนับสนุนการค้าและการผลิตในระดับภูมิภาค

  • เสริมความแข็งแกร่งของระบบราชการและความโปร่งใส หนึ่งในข้อได้เปรียบของเวียดนามคือการส่งเสริมการลงทุนผ่านกฎระเบียบที่ทันสมัยและชัดเจน ประเทศไทยต้องยกระดับ “Ease of Doing Business” และลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในการทำธุรกิจ

 


ree


“โอกาสด้านความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Cooperation)”


การเติบโตของเวียดนามเปิดโอกาสให้ไทยสามารถร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในบริบทของ “ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน” เช่น:


  • การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการผลิตและประกอบสินค้าไทย อาจเน้นการพัฒนาและวิจัยในขั้นต้น (R&D, Design) และให้เวียดนามรับช่วงต่อในการประกอบและผลิตจำนวนมาก (Mass Production) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนโดยรวมในอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสมาร์ทดีไวซ์

  • การเชื่อมโยงโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ การลงทุนในระบบราง การขนส่งข้ามแดน และการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในเขตชายแดน เช่น มุกดาหาร–สะหวันนะเขต–เว้ หรือ นครพนม–กว๋างบิ่ญ จะช่วยให้สินค้าไทยสามารถเข้าถึงตลาดเวียดนามและ CLMV ได้

  • การดึงดูด FDI ร่วม หรือการสร้างเขตเศรษฐกิจเชื่อมโยง ปัจจุบันนักลงทุนมองหาการกระจายความเสี่ยง (Diversification of Investment Destination) ประเทศไทยและเวียดนามสามารถสร้าง “แพลตฟอร์มร่วม” เพื่อดึงดูด FDI โดยใช้จุดแข็งของแต่ละประเทศ เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแบบ Cross-Border SEZs การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่สามารถใช้ทั้งแรงงาน ทรัพยากร และโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “เขตเศรษฐกิจไร้พรมแดน” แห่งอาเซียน การส่งเสริม FDI ร่วมผ่านโครงการลงทุนข้ามพรมแดน เช่น บริษัทญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่สนใจตั้งฐานผลิตในอาเซียน สามารถรับแรงจูงใจทั้งจากไทยและเวียดนาม หากมีแผนดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองประเทศ เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนในไทยและสายการประกอบในเวียดนาม

 

บทเรียนจากเวียดนาม คือภาพสะท้อนของประเทศที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน กล้านำการเปลี่ยนแปลง และเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องแม้ในบริบทโลกที่ผันผวน ขณะที่เวียดนามกำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของภูมิภาค ประเทศไทยเองจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทัน และมองเห็นมากกว่าการ “แข่งขัน” แต่คือการ “ร่วมมือ” เพื่อสร้างความแข็งแกร่งร่วมกันในระดับอาเซียน การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทานระหว่างไทยกับเวียดนามจะเป็นพลังสำคัญที่ผลักดันให้ภูมิภาคนี้ไม่เพียงอยู่รอดในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ แต่ยังสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีอิทธิพลมากขึ้นบนเวทีโลกในระยะยาว



ที่มา :


 

bottom of page