เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตแค่ไหน? และประเทศไทยจะอยู่ตรงจุดไหนในสมการ
- timeconsulting10
- 17 ต.ค.
- ยาว 2 นาที

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กำลังได้รับความสนใจในระดับโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศมหาอำนาจอย่างจีนเริ่มชะลอการเติบโต หลายสายตาจึงจับจ้องมาที่กลุ่มประเทศอาเซียนในฐานะ “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจสำรอง” ของภูมิภาค และหนึ่งในประเทศที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วคือ เวียดนาม ซึ่งจากรายงาน World Economic League Table โดยศูนย์วิจัย CEBR แห่งสหราชอาณาจักร ระบุว่า ภายในปี 2028 เวียดนามมีแนวโน้มจะแซงไทยขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งแนวโน้มนี้ดูเป็นไปได้อย่างมาก หากพิจารณาจากข้อมูลล่าสุดในปี 2024 ที่เวียดนามมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ประมาณ 571,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและต่อเนื่อง เวียดนามสามารถขยับขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภูมิภาค แซงหน้ามาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ได้สำเร็จ และกำลังไล่จี้ไทยอย่างใกล้ชิดในลำดับถัดไป
ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของอาเซียนมายาวนาน กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย การแข่งขันด้านเทคโนโลยี การเมืองภายในประเทศ รวมถึงความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ บทความนี้จึงขอพาผู้อ่านมาสำรวจและเปรียบเทียบภาพรวมเศรษฐกิจของเวียดนามและประเทศไทยในปัจจุบัน ผ่านมุมมองด้านการเติบโต การลงทุน โครงสร้างเศรษฐกิจ และศักยภาพในอนาคต เพื่อหาคำตอบว่า ประเทศใดกำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” แห่งเศรษฐกิจอาเซียนอย่างแท้จริง
“4 พลังหลักที่ผลักดันเศรษฐกิจเวียดนามสู่เวทีโลก”
ประเทศเวียดนามได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น ความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการพัฒนาทางโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางบริบทของเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน เวียดนามกลับแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน ทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่า ประเทศนี้จะกลายเป็น "ดาวรุ่งดวงใหม่" ของเศรษฐกิจโลกในอนาคตอันใกล้ เราจะพาทุกคนร่วมสำรวจปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเวียดนาม ตั้งแต่แนวทางของภาครัฐ การเปิดเสรีทางการค้า การพัฒนาแรงงาน ไปจนถึงบทบาทของเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานโลก โดยปัจจัยดังกล่าวได้แก่
1. การย้ายฐานการผลิตจากจีน (China +1 Strategy)
นับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มต้นในปี 2018 เวียดนามได้กลายเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับบริษัทข้ามชาติที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาการผลิตในจีน เช่น
Apple: บริษัทได้ขยายการดำเนินงานในเวียดนามอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มจำนวนซัพพลายเออร์ในประเทศเป็น 35 ราย ณ ปี 2024 ทำให้เวียดนามเป็นฐานซัพพลายเออร์ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก
Samsung: เริ่มลงทุนในเวียดนามตั้งแต่ปี 2008 และได้กลายเป็นผู้ส่งออกหลักของประเทศ โดยในปี 2022 มีมูลค่าส่งออกกว่า 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
Intel: ได้ลงทุนในโรงงานประกอบและทดสอบชิปในเวียดนาม และกำลังขยายการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
อย่างไรก็ตาม การหยุดชั่วคราวของภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปี 2025 อาจส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจในการย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนาม โดยการลงทุนจากต่างประเทศในเวียดนามลดลง 30% ในเดือนเมษายนปี 2025
2. ความพร้อมด้านแรงงานและต้นทุน
ประเทศเวียดนามยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิต ด้วยค่าแรงเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 79,280 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย (142,344 ดอลลาร์สหรัฐ) และสิงคโปร์ (366,561 ดอลลาร์สหรัฐ) ตามข้อมูลจาก InCorp Vietnam จึงทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับการลงทุนด้านการผลิตในระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เวียดนามไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นฐานการผลิตราคาถูก แต่ยังเร่งพัฒนาแรงงานทักษะสูง เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แม้ปัจจุบันแรงงานที่มีทักษะสูงจะคิดเป็นเพียง 28% ของแรงงานทั้งหมด แต่รัฐบาลได้ดำเนินโครงการพัฒนาแรงงานอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทข้ามชาติเช่น Intel และ Apple ก็ได้ลงทุนในการฝึกอบรมและยกระดับทักษะของแรงงานในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายฐานการผลิตและการลงทุนด้านเทคโนโลยีในเวียดนามอย่างยั่งยืน

3. การเปิดกว้างของรัฐบาลและข้อตกลงการค้า
ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เวียดนามเป็นสมาชิกของข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับ เช่น : CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership): ช่วยลดภาษีและเปิดตลาดใหม่สำหรับสินค้าเวียดนาม EVFTA (EU-Vietnam Free Trade Agreement): เปิดตลาดสหภาพยุโรปให้กับสินค้าเวียดนาม และช่วยกระตุ้นการลงทุนจากยุโรป RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership): ส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกในเอเชียแปซิฟิก
4. สิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิ่งจูงใจในการลงทุน
รัฐบาลเวียดนามมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิ่งจูงใจในการลงทุนหลายรูปแบบเพื่อดึงดูดนักลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจสตาร์ทอัพ ดังนี้
ยกเว้นภาษีนิติบุคคลและลดอัตราภาษี สำหรับกิจการและโครงการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสตาร์ทอัพ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในนครโฮจิมินห์ รัฐบาลกำหนดให้ยกเว้นภาษีนิติบุคคลหรือให้ลดอัตราภาษีได้ตามเงื่อนไข โดยเฉพาะโครงการที่มีการใช้เทคโนโลยีสูงและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงการลดภาษีนิติบุคคลเหลือเพียง 10% เป็นระยะเวลานานถึง 15 ปี สำหรับบริษัทที่มีการใช้วัตถุดิบ แรงงานที่เกี่ยวข้องกับเวียดนามอย่างน้อย 30%
ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับบุคคลที่มีรายได้จากการร่วมลงทุนกับบริษัทสตาร์ทอัพในนครโฮจิมินห์ ภายใต้ข้อกำหนดของสภาประชาชนนครโฮจิมินห์ เช่น การดำเนินงานในด้านนวัตกรรมและได้รับใบรับรองยกเว้นภาษี
สิทธิประโยชน์ด้านดอกเบี้ยเงินกู้และการทำธุรกรรม สำหรับโครงการร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระหว่างภาครัฐกับเอกชนแบบ Build-Transfer (BT) ในนครโฮจิมินห์ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
ยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบและอุปกรณ์ สำหรับบริษัทที่นำเข้าวัตถุดิบ อุปกรณ์ หรือเครื่องจักรเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัล รัฐบาลเวียดนามยกเว้นภาษีนำเข้าเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
นโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านที่ดิน รัฐบาลมีการสนับสนุนด้านที่ดินสำหรับโครงการลงทุนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ เช่น การจัดสรรที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ
เสถียรภาพทางการเมืองและการเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรี เวียดนามมีเสถียรภาพทางการเมืองสูงและเป็นสมาชิกข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับ เช่น CPTPP และ EVFTA ซึ่งช่วยเปิดตลาดและเพิ่มโอกาสส่งออกให้นักลงทุน
ประเทศเวียดนามมุ่งเน้นการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง สตาร์ทอัพ และโครงสร้างพื้นฐาน ผ่านการลดหย่อนภาษีและสิทธิประโยชน์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง

เศรษฐกิจเวียดนามโตสวนกระแสโลก 5 อุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2024–2025
แม้โลกจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค แต่เวียดนามกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยังสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยนโยบายที่ชัดเจน การเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และการปรับตัวของอุตสาหกรรมในประเทศอย่างต่อเนื่อง เวียดนามกำลังกลายเป็น “ม้ามืด” แห่งอาเซียนที่หลายประเทศต้องจับตามอง ในหัวข้อนี้จะพาไปสำรวจ 5 อุตสาหกรรมดาวรุ่งที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนามให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และน่าสนใจสำหรับนักลงทุน นักธุรกิจ และผู้ที่ต้องการเข้าใจทิศทางของเศรษฐกิจภูมิภาคในยุคใหม่
การผลิตและการแปรรูป: กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องจักร บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Samsung, Foxconn และ Intel ยังคงขยายการลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากต้นทุนแรงงานที่แข่งขันได้และข้อตกลงการค้าที่เอื้ออำนวย
เทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม: นโยบายของรัฐที่ต้องการเปลี่ยนเวียดนามเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของภูมิภาค อุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลสร้างรายได้ 118 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 โดยมีซอฟต์แวร์และบริการดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญ
ภาคบริการ: ปัจจุบันเป็นภาคส่วนที่มีส่วนแบ่งต่อ GDP สูงสุดในปี 2024 เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ครอบคลุมค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ (คาดว่าจะถึง 35 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025) การเงิน โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว
พลังงานหมุนเวียน: เวียดนามได้รับการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมากในโซลาร์ วินด์ และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ โดยคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องตามนโยบายการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว
เกษตรกรรม ป่าไม้ และประมง: ในปี 2024 การส่งออกสินค้าเกษตร (เช่น ข้าว กาแฟ ผลไม้) มีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมงรวมอยู่ที่ 62.4 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ประเทศเวียดนามกำลังก้าวข้ามภาพจำเดิมในฐานะ “โรงงานของโลก” ไปสู่การเป็น ศูนย์กลางการผลิตและนวัตกรรมแห่งใหม่ในเอเชีย อย่างเต็มตัว โดยอาศัยความได้เปรียบจากต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ พร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เมืองใหญ่อย่าง โฮจิมินห์, ฮานอย และดานัง กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมขั้นสูง ทั้งในแง่การเป็นแหล่งรวมของวิศวกรและแรงงานมีทักษะ ไปจนถึงศูนย์กลางของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่เข้ามาลงทุนในประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา Smart City โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจนวัตกรรมอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีการวางแผนลงทุนด้าน โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เช่น ท่าเรือ สนามบิน และเครือข่ายทางหลวง เพื่อเชื่อมโยงเวียดนามเข้ากับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนผ่านจากการเป็นฐานการผลิตสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมจึงไม่ใช่แค่เป้าหมายของเวียดนาม แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่น่าจับตามองในเวทีเศรษฐกิจโลก
“บทเรียนและโอกาสสำหรับประเทศในอาเซียนและไทย”
การเติบโตของเวียดนามไม่ควรถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจไทย แต่ควรถูกมองว่าเป็น “แรงขับเคลื่อนร่วม” ในการผลักดันอาเซียนให้เป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก หากไทยต้องการรักษาความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนและคงบทบาทในห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain) จำเป็นต้องมีการปรับตัวในหลายมิติ ดังนี้:
เร่งพัฒนาแรงงานทักษะสูงและอัปเกรดอุตสาหกรรมสู่ S-Curve การแข่งขันกับเวียดนามในด้านแรงงานต้นทุนต่ำอาจไม่ใช่คำตอบระยะยาว ประเทศไทยควรมุ่งสู่การเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีระดับสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ และชีวภาพ พร้อมพัฒนาทักษะของแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในอนาคต
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่ง โลจิสติกส์ หรือดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์ ไทยจำเป็นต้องลงทุนและบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสนับสนุนการค้าและการผลิตในระดับภูมิภาค
เสริมความแข็งแกร่งของระบบราชการและความโปร่งใส หนึ่งในข้อได้เปรียบของเวียดนามคือการส่งเสริมการลงทุนผ่านกฎระเบียบที่ทันสมัยและชัดเจน ประเทศไทยต้องยกระดับ “Ease of Doing Business” และลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในการทำธุรกิจ

“โอกาสด้านความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Cooperation)”
การเติบโตของเวียดนามเปิดโอกาสให้ไทยสามารถร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในบริบทของ “ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน” เช่น:
การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการผลิตและประกอบสินค้าไทย อาจเน้นการพัฒนาและวิจัยในขั้นต้น (R&D, Design) และให้เวียดนามรับช่วงต่อในการประกอบและผลิตจำนวนมาก (Mass Production) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนโดยรวมในอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสมาร์ทดีไวซ์
การเชื่อมโยงโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ การลงทุนในระบบราง การขนส่งข้ามแดน และการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในเขตชายแดน เช่น มุกดาหาร–สะหวันนะเขต–เว้ หรือ นครพนม–กว๋างบิ่ญ จะช่วยให้สินค้าไทยสามารถเข้าถึงตลาดเวียดนามและ CLMV ได้
การดึงดูด FDI ร่วม หรือการสร้างเขตเศรษฐกิจเชื่อมโยง ปัจจุบันนักลงทุนมองหาการกระจายความเสี่ยง (Diversification of Investment Destination) ประเทศไทยและเวียดนามสามารถสร้าง “แพลตฟอร์มร่วม” เพื่อดึงดูด FDI โดยใช้จุดแข็งของแต่ละประเทศ เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแบบ Cross-Border SEZs การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่สามารถใช้ทั้งแรงงาน ทรัพยากร และโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ “เขตเศรษฐกิจไร้พรมแดน” แห่งอาเซียน การส่งเสริม FDI ร่วมผ่านโครงการลงทุนข้ามพรมแดน เช่น บริษัทญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่สนใจตั้งฐานผลิตในอาเซียน สามารถรับแรงจูงใจทั้งจากไทยและเวียดนาม หากมีแผนดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองประเทศ เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนในไทยและสายการประกอบในเวียดนาม
บทเรียนจากเวียดนาม คือภาพสะท้อนของประเทศที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน กล้านำการเปลี่ยนแปลง และเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องแม้ในบริบทโลกที่ผันผวน ขณะที่เวียดนามกำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของภูมิภาค ประเทศไทยเองจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทัน และมองเห็นมากกว่าการ “แข่งขัน” แต่คือการ “ร่วมมือ” เพื่อสร้างความแข็งแกร่งร่วมกันในระดับอาเซียน การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทานระหว่างไทยกับเวียดนามจะเป็นพลังสำคัญที่ผลักดันให้ภูมิภาคนี้ไม่เพียงอยู่รอดในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ แต่ยังสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีอิทธิพลมากขึ้นบนเวทีโลกในระยะยาว
ที่มา :
GDP ของทั้งประเทศเวียดนาม และประเทศไทย และอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศhttps://tradingeconomics.com/vietnam/gdp-growth-annual , https://www.vietnam-briefing.com/news/vietnam-economy-2024-gdp-trade-fdi.html/ , https://thaipublica.org/2024/03/source-of-gdp-growth/ , https://tradingeconomics.com/thailand/gdp-growth-annual , https://news.laodong.vn/kinh-doanh/du-bao-lac-quan-ve-tang-truong-gdp-viet-nam-nam-2025-1452923.ldo?utm_source=chatgpt.com , https://www.mckinsey.com/featured-insights/future-of-asia/southeast-asia-quarterly-economic-review, https://www.imf.org/external/datamapper/NGDP_RPCH@WEO/IDN/MYS/PHL/THA/VNM
FDI to Vietnam up 35% in Q1 2025: https://hanoitimes.vn/fdi-to-vietnam-up-35p-in-q1-2025.665429.html
Vietnam Set to Overtake Thailand as Southeast Asia's Second-Largest Economy: https://www.nationthailand.com/business/economy/40049589
การย้ายฐานการผลิตจากจีน (China +1 Strategy) https://thediplomat.com/2025/04/vietnam-in-us-china-trade-tensions/ , https://www.vietnam-briefing.com/news/apples-production-strategy-in-vietnam.html/ , https://www.fierceelectronics.com/electronics/vietnam-wants-slice-booming-chip-market
ความพร้อมด้านแรงงานและต้นทุน https://vietnam.incorp.asia/ , https://b-company.jp/vietnam-labor-market-and-future-trends/
การเปิดกว้างของรัฐบาลและข้อตกลงการค้า https://delco-construction.com/th/list-of-vietnams-active-fta-th/ , https://www.thaitextile.org/th/insign/detail.901.1.0.html , https://www.voathai.com/a/vietnam-rcep-benefits/6325097.html
Industries of Vietnam (2024–2025) https://www.vietnam-briefing.com/news/vietnams-economic-outlook-for-2025-push-for-digitalization-and-sustainability.html/ , https://www.vietnam-briefing.com/news/vietnam-economy-2024-gdp-trade-fdi.html/ , https://www.vietnam-briefing.com/news/vietnams-top-500-enterprises-in-2024-new-report-findings.html/ ,
Vietnam's GDP Overview: https://www.youtube.com/watch?v=U7NvkpTHucE , https://marketeeronline.co/archives/403291 , https://www.kasikornbank.com/th/kwealth/Pages/a640-t8-hyb-trade-war-impact-on-vietnam-kgth.aspx
Thailand's GDP Overview: https://www.kasikornbank.com/th/kwealth/Pages/a812-t1-trg-thailand-gdp-better-than-expected-kgth.aspx , https://thaipublica.org/2025/05/thai-nesdc-q1-68-gdp-growth-3-1-annual-outlook-reduced-to-1-8/ , https://thestandard.co/thai-gdp-q1-2025-growth/


